เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,416
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,416
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางออกจากวัดอุทยานตั้งแต่ตีสามครึ่ง ด้วยความเมตตาของพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน นำรถตู้ของวัดไปส่งกระผม/อาตมภาพและคณะ ที่อาคาร ๑ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง

    เมื่อไปถึงปรากฏว่าในคณะมากันหลายคนแล้ว ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่กำลังเช็คอินอยู่หลายร้อยคน ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าจะแห่กันไปที่ไหน ถึงได้มากมายขนาดนั้น ดีที่ทางด้านเติมเต็มทราเวลของลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ได้ทำการอนุเคราะห์สงเคราะห์ จัดให้หลวงตาไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์พิเศษคนเดียว ทำให้มีความคล่องตัวอย่างมาก

    เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว จึงได้ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง เพื่อที่จะไปรอขึ้นเครื่อง ปรากฏว่าคณะที่มานั้น มีหลายท่านที่รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่ดั้งเดิม ในขณะเดียวกันหลายท่านก็เป็นบุคคลที่เคยทำบุญกับวัดท่าขนุน แต่ว่าไม่ได้มีการเสวนากันอย่างจริงจังนัก เมื่อถึงเวลาทางเจ้าหน้าที่ของแอร์เอเชียประเทศไทย ก็ได้เรียกให้ขึ้นเครื่อง โดยนิมนต์
    กระผม/อาตมภาพขึ้นรถบัสแล้วไปส่งทางท้ายสนามบิน ซึ่งทุกอย่างสำเร็จลงเรียบร้อยลงตามเวลาดีมาก

    เมื่อถึงเวลา กัปตันก็นำเครื่องทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กระผม/อาตมภาพตั้งใจแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ที่ดูแลท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ที่รักษาอากาศยานลำที่กระผม/อาตมภาพและคณะกำลังอาศัยเดินทางอยู่ เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ตลอดเส้นทางที่กระผม/อาตมภาพและคณะได้เดินทาง ไม่ว่าจะเป็นอากาศเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี ภุมมเทวดาก็ดี หรือจะเป็นเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย เดรัจฉานมีฤทธิ์ก็ตาม

    ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้อนุโมทนาในส่วนบุญกุศลที่กระผม/อาตมภาพได้บำเพ็ญแล้วด้วยดีและอุทิศให้ และขอให้ท่านทั้งหลายได้โปรดเมตตาอนุเคราะห์สงเคราะห์ ให้กระผม/อาตมภาพและคณะเดินทางโดยสะดวกปลอดภัย ตลอดเส้นทางด้วยเถิด


    เมื่อเครื่องจะลงสู่สนามบินนานาชาตินอยไบ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม กระผม/อาตมภาพกำหนดใจดูไปแล้วก็ใจหายวาบ เนื่องเพราะว่ามีท้าวมหาพรหมที่รัศมีกายสว่างไสวแทบจะกลบกลืนไปทั้งประเทศเวียดนาม ยืนตระหง่านอยู่กลางสนามบิน เมื่อเรียนถามท่านว่า "เป็นท่านใดครับ ?" ท่านบอกว่า "ผมคือติช กวาง ดึ๊ก..!" กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็แทบจะทรุดลงไปกราบตรงนั้นเลย หลวงปู่ติช กวาง ดึ๊ก ก็คือพระภิกษุชาวเวียดนาม ที่เผาตนเองประท้วงต่อประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม ผู้นับถือศาสนาคริสต์ แล้วทำการเบียดเบียนต่อศาสนาพุทธอย่างหนักในช่วงนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,416
    ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ทรงถึงฌานสมาบัติได้อย่างคล่องตัว จึงทำให้ท่านไม่รู้สึกเวทนาต่อการที่ไฟได้เผาไหม้ร่างกายของท่านเลย แล้วก็ไปเกิดเป็นพรหมเต็มบุญเต็มบารมีของท่าน กระผม/อาตมภาพกราบในความเมตตาที่ท่านอุตส่าห์อนุเคราะห์สงเคราะห์ มา "รับ" ในครั้งนี้

    เมื่อเดินทางออกมาด้านนอก ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ ตม.ของเวียดนาม ทำหน้าที่ได้คล่องตัวมาก ใช้เวลาในการประทับตราหนังสือเดินทาง ให้กระผม/อาตมภาพไม่ถึง ๑ นาที ผ่านออกมารอที่ทางด้านนอกที่สายพาน ๒ ปรากฏว่าแม้กระเป๋าจะมารวดเร็วทันใจ แต่ก็มีการชำรุดเสียหายอยู่ใบหนึ่ง และชำรุดหนักมาก..! คาดว่าน่าจะเกิดจากทางต้นทาง คือสนามบินนานาชาติดอนเมืองของเราเอง ทางด้านนี้ถึงกับต้องเอาถุงใส่มาส่ง เพราะว่าโดนโยนจนแตกกระจายไปครึ่งใบ..!

    ทางด้านเติมเต็มทราเวล รีบไปทำการแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น ในที่สุดก็ได้รับการชดเชยมา ๓๕๐,๐๐๐ ด่อง ซึ่งถ้าหากว่าเปรียบเป็นเงินไทยก็น่าจะอยู่ที่ราว ๆ ๕๐๐ กว่าบาท..! ซึ่งในส่วนนี้จะว่าไปแล้วก็ไม่คุ้ม แต่ทางเขาไม่มีกระเป๋าเปลี่ยนให้จริง ๆ พวกเราจึงต้องรับค่าชดเชยตรงนี้มาอย่างเสียไม่ได้

    จุดนี้ทำให้กระผม/อาตมภาพที่เดินทางไปยุโรปแล้วเจอร้านค้าปลอดภาษี มีกระเป๋าแซมโซไนท์สวย ๆ ราคาไม่กี่สตางค์ ซึ่งทางด้านกระผม/อาตมภาพเห็นว่ามีกำลังเพียงพอที่จะซื้อได้ แต่พอพิจารณาแล้วว่า ถ้าขืนซื้อมาก็คงจะพังในเวลาอันรวดเร็ว ต่อให้เป็นการลดราคามากกว่าปกติสักเพียงใดก็ตาม ถ้าต้องพังไปในเวลาไม่นานก็ยังนับว่าราคาแพงอยู่ดี จึงไม่ได้ซื้อหามา

    เมื่อพวกเราออกเดินทางมานอกสนามบิน ก็ต้องสะท้านวูบไปทั้งตัว เนื่องเพราะว่าอากาศแค่ ๑๔ องศาเซลเซียสเท่านั้น ขึ้นรถบัสที่มารอรับอยู่ทั้ง ๒ คัน เมื่อขึ้นไปถึงก็เจอ "อาหลัน" ซึ่งความจริงต้องออกเสียงว่า "ลาน (Lan)" ซึ่งเป็นคำเดียวกับ "หลัน" ของภาษาจีนกลางที่แปลว่ากล้วยไม้นั่นเอง มารอต้อนรับคณะของเราอยู่แล้ว

    อาหลันที่เป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่นมาแนะนำตัว แจกน้ำ แจกแซนด์วิช ซึ่งแซนด์วิชนั้น ตอนแรก กระผม/อาตมภาพก็ติว่า "ชิ้นใหญ่มาก น่าจะกินไม่หมด" แต่พอกัดเข้าไปแล้ว กลับรู้สึกว่าอร่อยมาก ก็เลยเผลอกินหมดโดยไม่รู้ตัว..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,416
    รถบัสของพวกเราออกเดินทางตอน ๘ โมง ๔๐ นาที เพื่อมุ่งตรงไปยังเมืองซาปา ทางเวียดนามเหนือ ต้องขึ้นทางด่วนซึ่งเพิ่งจะสร้างเสร็จก่อนเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดแค่ ๒ ปีเท่านั้น แล้วแทบจะไม่มีใครใช้งาน เนื่องเพราะว่าช่วงที่โควิดระบาด ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศเวียดนาม เพิ่งจะมาใช้งานได้เมื่อปีกว่าที่ผ่านมานี่เอง พวกเราจึงได้ลองของใหม่ รถยนต์ทางด้านประเทศเวียดนามวิ่งชิดขวา แซงซ้าย เช่นเดียวกับประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของยุโรปมาก่อน

    แม้ว่าระยะทางจะวิ่งหลายชั่วโมงก็ตาม แต่ว่าทางอาหลันก็มีลูกเล่นสนุก ๆ มาเล่าให้พวกเราได้ฟังไปตลอดทาง โดยที่กระผม/อาตมภาพซึ่งดูฟ้าดูดินไปตลอดทาง รู้สึกทึ่งตรงที่ว่าทางด้านประเทศเวียดนามนี้ มีการสร้างสุสานให้แก่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วอยู่ในที่ดินที่นาของตนเอง ตรงไหนที่เป็นหมู่บ้าน หรือว่าตระกูลใหญ่ ก็มีสุสานเรียงรายกันหลายสิบหลัง จนกระผม/อาตมภาพเรียกว่า "เมืองผี" ส่วนบางที่ตระกูลเล็ก หรือว่าเพิ่งมีคนตายไม่กี่คน ก็มีสุสานหลังเดียวบ้าง สองหลังบ้าง เป็นระยะไป

    ประเทศเวียดนามนั้นปลูกข้าวมากที่สุด โดยเฉพาะเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ว่าพื้นที่สำหรับปลูกข้าวนั้นกลับมีน้อยจนเหลือเชื่อ เพราะว่าพื้นที่ ๑ ใน ๓ ของประเทศนั้นเป็นภูเขาและแม่น้ำ ส่วนแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่เห็นนั้น บางทีไม่ใช่บึง ไม่ใช่บ่อทั่ว ๆ ไป หากแต่ว่าเป็นหลุมที่เกิดจากการโดนทิ้งระเบิดยามสงคราม..! แล้วเมื่อสงครามจบสิ้นลงแล้ว บริเวณนั้นมีน้ำขัง ก็กลายเป็นบ่อหรือสระน้ำไปโดยปริยายนั่นเอง

    พวกเราใช้เวลาเดินทางมาจนถึงเมืองหล่าวกาย ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกง่าย ๆ ว่า "เมืองเล้าไก่" เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน โดยจอดแวะพักเข้าห้องน้ำกันครั้งเดียวเท่านั้น การเข้าห้องน้ำที่ประเทศเวียดนามนี้ เราต้องจ่ายทีละ ๓,๐๐๐ ด่อง ทำเอาสะดุ้งสุดตัวไปเหมือนกัน แต่พอเรามาคิดถึงว่ายังไม่ถึง ๕ บาทดีก็แล้วไปเถอะ..! โดยมีอาหลันเป็นผู้ "เลี้ยงฉี่" จ่ายให้กับทุกคน..!

    เมื่อกลับขึ้นรถมา วิ่งต่อไปเริ่มใกล้เขตเมืองหล่าวกาย อากาศก็ลดลงเหลือแค่ ๙ องศาเซลเซียสเท่านั้น พวกเราเลี้ยวขวาตรงข้ามกับทางไปเมืองซาปา เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองเมืองหล่าวกายแล้ว ก็ตรงไปภัตตาคารชื่อว่าเลอบอร์โดซ์ เหตุที่มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศส ก็เพราะว่าชาวเวียดนามของเรานั้น เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสอยู่เป็นร้อยปีเหมือนกัน

    เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย พวกเราออกเดินทางออกจากภัตตาคาร ตรงไปยังยอดเขา เพื่อที่จะไปชมสะพานแก้วมังกรเมฆ ปรากฏว่ายิ่งขึ้นก็ยิ่งสูง หมอกลงหนักมากแทบมองทางไม่เห็น และถนนหนทางบางช่วงก็มีหินถล่มอยู่ โดยเฉพาะสิ่งที่อันตรายมากก็คือ มีหินถล่มลงมายังไม่พอ แต่ว่าไม่มีสัญญาณอะไรที่ชัดเจนเลย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยทำให้รถต้องระวังกันเองจนไปได้ช้ามาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,416
    ครั้นพวกเราเดินทางฝ่าทั้งหมอก ทั้งสายฝนที่พรำ ๆ ลงมาเป็นระยะ ขึ้นไปจนถึงด้านบนก็เป็นเวลาเกือบ ๔ โมงเย็น ต้องไปต่อรถตู้ จากรถตู้วิ่งขึ้นไปไม่ถึง ๒ นาที ซึ่งอาหลันบอกว่า "ตดไม่ทันจะหายเหม็น" ก็ต้องลงจากรถตู้ไปขึ้นลิฟท์ จากลิฟท์ที่น่าจะประมาณ ๒ หรือ ๓ ชั้นตึกเท่านั้น เราก็ต้องไปต่อรถตู้ใหม่ คราวนี้วิ่งไม่ถึง ๑ นาที ประมาณว่า "ยังไม่ทันจะได้ตด" เสียด้วยซ้ำไป ก็ขึ้นไปถึงสถานที่ซึ่งต้องรอลิฟท์ใหญ่ ที่จะบรรทุกคนครั้งละ ๒๐ คน เพื่อขึ้นไปชมสะพานแก้วมังกรเมฆ

    พวกเราต้องไปเข้าแถวร่วมกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เพื่อที่จะรอในการขึ้นลิฟท์ไปด้วยกัน มีการขยับไปเป็นระยะ ๆ ให้ชื่นใจอยู่เหมือนกัน ในขณะเดียวกันอาหลันก็เล่าเรื่องสนุก ๆ ให้ฟังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่า นี่นับเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพเลยทีเดียว โดยเฉพาะพูดไทยได้ชัดมาก แม้ว่าหลายต่อหลายคำนั้นจะเป็นการออกเสียงจากการเรียนภาษาไทยโดยตัวเขียนภาษาอังกฤษก็ตาม อย่างเช่น ฝ.ฝา ออกเสียงเป็น ผ.ผึ้ง เป็นต้น

    เมื่อได้คิวพวกเราขึ้นไป ก็ได้ยินนักท่องเที่ยวคณะหนึ่ง ซึ่งมีคนไทยอยู่ด้วย บอกว่า "พวกเราไม่น่าจะได้เห็นอะไร เพราะว่าข้างล่างหมอกหนักขนาดนี้" แต่ปรากฏว่าทันทีที่ลิฟท์ใหญ่ซึ่งขึ้นไปสูงถึง ๓๐๐ กว่าเมตร พ้นจากชั้นหมอกขึ้นไป แสงแดดด้านบนก็จัดจ้าให้พวกเราได้เฮกันตรึม..! สรุปก็คือไม่ว่าจะถ่ายรูปที่ไหน ก็ดูสวยดูงามไปเสียหมด ต้องกราบขอบพระคุณเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ที่ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ในครั้งนี้

    ครั้นเมื่อถ่ายรูปหมู่แล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินเลาะไปทางด้านซ้ายมือ ตามสะพานแก้วมังกรเมฆไปเรื่อย ๆ เนื่องเพราะว่าเป็นบุคคลที่ไม่กลัวความสูง จึงหยุดถ่ายรูปเป็นระยะไป เมื่อเดินไปจนสุดสะพานแล้ว ก็เป็นทางเดินลาดซีเมนต์ อ้อมภูเขาไปทางด้านหลัง มีสะพานซึ่งมีขั้นห่าง ๆ อยู่ให้ได้เล่นกันสนุกและหวาดเสียว แต่เขาไม่ให้พระเล่นด้วย..! โดยเฉพาะสะพานข้ามวัฏสงสารนั้น เขาปิดสระน้ำอยู่ แต่ต่อให้ไม่ปิด ก็คงไม่มีใครลงไปเล่น เพราะว่าอากาศแค่ ๙ องศาเซลเซียสเท่านั้น..!

    พวกเราเดินเลาะขึ้นไป จนกระทั่งเจอวัดวาอารามอยู่ข้างบนภูเขา จึงได้ไปอาศัยเข้าห้องน้ำก่อน แล้วค่อยเข้าไปกราบพระ กระผม/อาตมภาพทำบุญแบบเศรษฐี ก็คือหยอดธนบัตรใบละ ๕๐,๐๐๐ ด่องลงตู้ไปเลย..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,416
    เมื่อกลับลงมาจากวัดแล้ว ก็เดินเลาะภูเขาต่อไป จนกระทั่งมาออกทางด้านหลังสะพานสายรุ้งที่ได้ถ่ายรูปหมู่ตั้งแต่ต้น เมื่อนั่งรอพวกเราอยู่ครู่หนึ่ง เสียงอาหลันตะโกนบอกว่า "มังกรผงาดแล้ว" พวกเราหันไป ก็เห็นหมู่เมฆปั่นป่วนเหมือนอย่างกับมังกรกำลังขยับขึ้นลง แล้วท้ายที่สุดก็มีการยกตัวขึ้นมา เหมือนมังกรผงกเศียร..!

    แต่ว่าเหตุการณ์อัศจรรย์ทางธรรมชาตินี้ เกิดขึ้นแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น แม้แต่กระผม/อาตมภาพที่มัวแต่เดินอ้อมเครื่องกั้นเพื่อที่จะไปถ่ายรูป ก็ยังถ่ายแทบไม่ทัน ติดแค่หัวมังกรที่กำลังลดลงเหนือนิดเดียวเท่านั้น น่าเสียดายมาก..! แต่ว่าพวกเราก็ได้เห็นทุกอย่างที่ควรเห็น ก็คือได้เห็นทั้งทะเลหมอก ได้เห็นทั้งมังกรผงกเศียร ได้เห็นทั้งพระอาทิตย์ตกดิน

    เมื่อพวกเราลงมาพร้อมแล้ว อาหลันก็ให้ทยอยกันนั่งลิฟท์ลงมา จากลิฟท์ใหญ่ก็มาต่อที่ลิฟท์เล็ก จากลิฟท์เล็กมาขึ้นรถ จากขึ้นรถก็มาลงรถ จากลงรถก็มาลงลิฟท์ จนกระทั่งมาถึงรถบัสของเราเวลา ๖ โมงเย็นพอดี รออยู่ประมาณ ๒๐ นาที คณะถึงได้ลงกันมาครบถ้วน

    พวกเราเดินทางลงจากภูเขาสะพานแก้วมังกรเมฆด้วยความหวาดเสียว เนื่องเพราะว่าเป็นเวลาค่ำคืนและหมอกลงหนักมาก จนกระทั่งมาถึงสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นที่ไหน เพราะว่าหมอกลงหนัก และฝนตกปรอย ๆ ลงมาคล้ายกับฝน "เยี่ยวจั๊กจั่น" เขาให้เรามาเปลี่ยนเป็นรถมินิบัสตรงนี้ เพื่อขึ้นไปยังโรงแรมที่พัก

    คราวนี้ได้วิ่งฝ่าเข้าไปในตัวเมืองซาปาอย่างแท้จริง แล้วก็ทำให้เห็นว่าถนนเล็ก ๆ แคบ ๆ นั้น ถ้าหากว่ารถบัสใหญ่เข้ามา ก็คงจะติดอยู่โค้งใดโค้งหนึ่งอย่างแน่นอน ประมาณ ๑๐ กว่านาที พวกเราก็มาถึง Sapa Charm Hotel กระผม/อาตมภาพยังไม่ทันที่จะหายใจ ลูกกิฟท์ก็จัดแจงเบิกห้องมาให้เรียบร้อยแล้ว

    เมื่อเข้าสู่ห้องพัก
    กระผม/อาตมภาพรู้สึกหนาวมาก จึงรีบสรงน้ำอุ่น แต่งตัวโดยการใส่เสื้อฮีทเท็คด้วย แล้วค่อยมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน หลังจากบันทึกเสียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อากาศอยู่ที่ ๘ องศาเซลเซียส จึงต้องใส่ทั้งถุงมือ ถุงเท้า ฉันยาแล้วก็คงจะเข้านอน เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปตามโปรแกรมแต่เช้า

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...