เรื่องเด่น โอวาทเมื่อวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    IMG_9079.jpeg

    โอวาทเมื่อวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

    ...ดังที่ได้กล่าวไว้ตอนก่อนที่จะสมาทานพระกรรมฐาน ว่าภัยคุกคามของพุทธศาสนาของเรานั้น ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาทุกที ถ้าเรายังประมาทอยู่ พระพุทธศาสนาที่เรารักอาจจะไม่เหลืออะไรไว้เลย

    ซึ่งตรงจุดนี้ วิธีการที่จะแก้ไขที่ดีที่สุด ก็คือพุทธบริษัท ๔ ซึ่งเป็นองค์กรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งเอาไว้ ประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

    ซึ่งถ้าแบ่งแยกออกไปแล้วก็เป็นฝ่ายอนาคาริก คือผู้ไม่ครองเรือน ได้แก่ ภิกษุรวมสามเณรด้วย ภิกษุณีนับรวมแม่ชีเข้าไปด้วย อุบาสกอุบาสิกาคือฆราวาสชายหญิงที่คอยค้ำจุนพระพุทธศาสนา ในส่วนของฆราวาสชายหญิงนั้นเป็นอาคาริก คือผู้ครองเรือน มีครอบครัวทำมาหากินตามปกติ เมื่อมีส่วนเหลือจากการกินการใช้แล้วก็นำมาเจือจุนฝ่ายอนาคาริกะคือภิกษุภิกษุณี ซึ่งไม่มีการทำมาหากิน ไม่มีอาชีพ

    เมื่อฝ่ายภิกษุภิกษุณีได้รับการอุดหนุนด้วยปัจจัย ๔ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากมากนัก อาศัยที่มีเวลามากกว่าเพราะไม่ได้ทำมาหากิน ก็เร่งรัดในการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งสามารถเข้าถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริง เมื่อบุคคลที่เข้าถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริงมาบอกทางให้เราเดิน ก็จะเป็นทางที่ง่ายที่สุดเพราะว่าท่านเดินมาเองแล้วรู้ว่าตรงไหนมีอุปสรรค ตรงไหนมีความคล่องตัว เมื่อนำเอาส่วนที่ง่ายนี้มาบอกกล่าวต่ออุบาสกอุบาสิกา อุบาสกอุบาสิกาก็อาศัยทางลัดที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของภิกษุภิกษุณีนั้น ก้าวเข้าไปสู่มรรคสู่ผลของตนได้ง่ายยิ่งขึ้นแม้ว่าจะมีเวลาน้อยเพราะติดด้วยการทำมาหากิน

    คราวนี้ในปัจจุบันนั้นภิกษุณีไม่มีแล้ว ที่มีอยู่ที่เห็นอยู่นั้นเป็นภิกษุณีสายมหายาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เพียรพยายามที่ต้องการความยอมรับจากทางราชการและคณะสงฆ์ไทย แต่เนื่องจากว่าในเรื่องของธรรมวินัยนั้นภิกษุณีของเราหมดไปแล้ว ไม่สามารถจะรื้อฟื้นได้ เพราะว่าปวัตตินีคืออุปัชฌาย์ของฝ่ายภิกษุณีไม่มี ไม่สามารถให้การบวชแก่สิกขมานาได้ เมื่อบวชแล้วก็ยังต้องมาญัตติในฝ่ายภิกษุอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าอุภโตสังฆอุปสัมปทา ก็คือการบวชในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าองค์กรพระพุทธศาสนาของเราเป็นรถ ล้อข้างหนึ่งหลุดหายไปแล้ว เหลือล้ออีก ๓ ข้างคือ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งก็ต้องนับแม่ชีเข้าไปในส่วนของอุบาสิกา ภิกษุก็นับสามเณรรวมเข้าไปด้วย เหลือ ๓ ล้อแต่วิ่งไม่เต็มที่ เพราะในล้อของภิกษุสามเณรก็โดนบีบโดนบังคับด้วยระเบียบ ด้วยมติ ด้วยกฎมหาเถรสมาคมที่ออกมาก็ไม่เคยจะอำนวยความสะดวกแก่พระพุทธศาสนา ไม่ได้ออกมาเพื่อให้คนอุปสมบทได้ง่าย แต่ออกมาเหมือนกับกีดกันไม่ให้คนอุปสมบทได้

    อุบาสกอุบาสิกานั้นกระแสโลกที่แรงมากก็ดึงห่างไกลวัดออกไปทุกขณะ ทำให้องค์กรพุทธบริษัท ๔ พิกลพิการ ถ้าเป็นรถก็วิ่งสูบกว่า ๒ สูบไม่ถึง ๔ สูบ แล้วจะเอากำลังที่ไหนมาวิ่งพาไปสู่จุดหมายปลายทาง ก็มีอยู่อย่างเดียวคืออุบาสกอุบาสิกาของเราต้องเลิกนิ่งดูดาย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมของเราให้เกิดมรรคเกิดผล เมื่อเกิดแล้วเราจะได้ยืนยันว่าพุทธศาสนานั้นดีจริงแล้วไปบอกต่อ

    การที่เราทำได้แล้วไปบอกต่อ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะขลังจะศักดิ์สิทธิ์เพราะมีตัวเรานั้นเป็นสักขีพยาน ผู้อื่นก็จะคล้อยตามมาง่ายเพราะเห็นว่าเราปฏิบัติแล้วได้ผล ถ้าหากว่าหลาย ๆ คนปฏิบัติแล้วได้ผล พุทธศาสนาของเราก็จะมั่นคงขึ้นไปเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกวาระหนึ่งเหมือนดั่งสมัยพุทธกาล

    อาตมาจึงขอย้ำว่าอย่าปล่อยให้องค์กรพุทธบริษัท ๔ อยู่ภายใต้การบริหารของพระภิกษุสามเณรเท่านั้น เพราะว่าพระภิกษุสามเณรนั้นโดนบีบคั้นด้วยศีล ด้วยกฎหมายบ้านเมืองมากขึ้นไปเรื่อย ๆ อุบาสกอุบาสิกาของเราที่นิ่งดูดายมานานต้องเร่งรัดตนเองเพื่อให้เกิดมรรคเกิดผล จนสามารถเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนา สามารถที่จะอวดเขาได้อย่างเต็มที่ว่าธรรมะของพุทธศาสนานี้มีความดีเลิศอย่างไร

    ก็ขอฝากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เอาไว้ให้ท่านทั้งหลายได้ตระหนัก ว่าถ้าหากว่าเราไม่เร่งรัดการปฏิบัติของเราให้เกิดผล ศาสนาพุทธของเราจะเสื่อมโทรมลงไปและหมดสภาพในระยะเวลาอันรวดเร็ว
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...