เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 เมษายน 2025 at 21:04.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ต้องบอกว่า "บุญพาวาสนาช่วย" เนื่องเพราะว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ., ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, ป.ธ. ๙) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้น ท่านมีภารกิจมาก จึงเปลี่ยนกำหนดการมามอบวุฒิบัตรผู้ผ่านโครงการ Upskills การสอนวิชาศาสนาเปรียบเทียบในวันนี้

    กระผม/อาตมภาพจึงต้องทำหน้าด้าน ๆ เข้าไปกราบเรียนท่านว่า จำเป็นจะต้องเดินทางกลับ เพราะว่าวัดท่าขนุนนั้นเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิของเดือนนี้ ซึ่งถ้าหากว่ามีเรื่องจำเป็นก็ไม่มีปัญหาอะไร พระผู้ใหญ่ที่ท่านมีภารกิจมาก ก็ย่อมเข้าใจดีว่าเวลานั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แทบจะต้องหั่นกันเป็นชิ้น ๆ มาใช้งานในแต่ละวัน ท่านจึงอนุญาตให้เดินทางกลับได้

    แต่ว่าเส้นทางสายปากช่อง - หนองแค ลงกรุงเทพฯ นั้น นอกจากรถทั่วไปมากเป็นปกติแล้ว บรรดารถใหญ่ไม่ว่าจะรถบรรทุก ๑๘ ล้อ ๒๒ ล้อ หรือว่ารถพ่วง รถหัวลากเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่วิ่งตามใจฉัน ก็คือเลนไหนไปได้กูก็ไปเลนนั้น..! ไม่ได้สนใจว่ารถหนักจะต้องวิ่งซ้าย ทำให้รถคันอื่นพลอยติดไปหมดทั้งถนน ต้องค่อย ๆ คลานตามกันไป กระผม/อาตมภาพจึงต้องหาเวลามาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อ "เล่าความหลัง" ต่อจากเมื่อวานนี้กันต่อไป

    เมื่อวานได้กล่าวถึงเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ โรคสำคัญของผู้หญิงอีกโรคหนึ่งนั้นเป็นธรรมชาติ แต่ถือว่าเป็นโรคเหมือนกัน ก็คือการตั้งท้องและคลอดลูก ก็จำเป็นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเหลือในการคลอด ที่เรียกกันว่า "หมอตำแย" หมอตำแยที่มีฝีมือดี ๆ นั้นมักจะโดนจองตัวกันข้ามปี และหนึ่งในนั้นก็คือโยมแม่ของกระผม/อาตมภาพเอง เพราะว่าโยมแม่มีลูกมาก คลอดลูกจนชำนาญ สามารถทำหน้าที่หมอตำแยได้เลย..!

    กระผม/อาตมภาพเองนั้น โยมแม่ก็ไปคลอดที่กลางทาง เนื่องเพราะว่าเดินทางไปแลกข้าวที่บ้านสระ ซึ่งเป็นหมู่บ้านลาวโซ่ง ขากลับปวดท้อง คลอดกระผม/อาตมภาพที่กลางทาง จัดการตัดสายสะดือ ห่อตัวด้วยผ้า แล้วก็ใส่หาบ หาบกลับมาพร้อมกับข้าวเปลือกนั่นแหละ..! จะว่าไปแล้วกระผม/อาตมภาพน่าจะเป็นคนรวย เกิดบนกองทรัพย์สมบัติเหมือนกัน เพราะว่าในสมัยโบราณนั้น เขาถือข้าวเปลือกเป็นทรัพย์สินสำคัญอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    แล้วฝีมือที่โยมแม่มีอยู่ ซึ่งกระผม/อาตมภาพทำไม่ได้เลย ก็คือการโกนหัวเด็กอ่อนด้วยมีดโกน มีดโกนสมัยก่อนเป็นมีดโกนที่ตัวมีดและด้ามมีดเป็นชิ้นเดียวกัน ต้องใช้ลับกับแผ่นหนัง แล้วค่อยใช้โกนศีรษะ กระผม/อาตมภาพขนาดใช้ใบมีดโกนซึ่งมีตัวกันบาดในสมัยปัจจุบันนี้ เมื่อโกนหัวตัวเองก็ยังบาดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน..! แต่ว่าโยมแม่ซึ่งโกนหัวเด็กอ่อน ที่กระหม่อมยังเต้นตุบ ๆ เพราะว่าแผ่นกระดูกยังปิดไม่มิด กลับมือเบาชนิดที่โกนได้โดยที่ไม่มีบาดแผลอะไรเลย..!

    อีกอย่างหนึ่งก็คือโยมแม่เจาะหูเด็กเก่งมาก สมัยก่อนจะมีการเอาเข็มเย็บผ้านี่แหละ เสียบเอาไว้ในขิงแก่ ๆ ทิ้งไว้สักชั่วโมง ๒ ชั่วโมง เพื่อให้ฆ่าเชื้อก่อน จากนั้นก็ร้อยด้ายแดงเพื่อทำการเจาะหูเด็ก โยมแม่มือเบาแล้วก็ว่องไวมาก ทำให้เจาะหูเด็กได้ โดยที่เด็กบางทีไม่ทันรู้ตัว บางคนก็รู้สึกเจ็บแปลบเดียว ไม่ทันคิดจะร้องไห้เสียด้วยซ้ำไป..!

    เมื่อเจาะผ่านไปแล้วก็ตัดด้ายแดงนั้น แล้วก็ผูกเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้รอยเจาะนั้นตัน แล้วก็ต้องจับขยับอยู่ทุกวัน เพื่อที่จะไม่ให้รอยเจาะนั้นติดกลับเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกันอีก สมัยก่อนเด็กคนไหนเจาะหูเพื่อนก็จะรู้ เพราะว่าจะมีด้ายแดงร้อยแล้วผูกเป็นวงเอาไว้

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาผู้หญิงท้อง ส่วนใหญ่เมื่อได้หมอตำแยที่มีความสามารถพิเศษ ก็จะคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย และมีการแนะนำให้ "อยู่ไฟ" แนะนำให้กินอาหารที่ทำให้มีน้ำนมมาก ลูก ๆ จะได้มีนมพอกิน เพราะว่าสมัยก่อนนั้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว มายุคหลัง ๆ เริ่มมีนมผงกระป๋องตราหมีขึ้นมา ทำให้แม่ส่วนหนึ่งหันไปเลี้ยงลูกด้วยนมกระป๋องแทน เด็ก ๆ รุ่นหลัง ๆ ก็เลยโตมาด้วยนมวัว

    อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็เลยมีนิสัยดื้อของวัวของควายติดมาด้วย..! ไม่เหมือนกับเด็กสมัยก่อนที่ร้อยละ ๙๙.๙๙ มักจะเชื่อฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แต่เด็กรุ่นหลัง ๆ ที่โตมาด้วยนมวัว เอานิสัยวัวควายมาใช้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ? ก็เลยทำให้ดื้อด้านกันนักหนา ตีกันจนไม้หักก็ยังไม่ค่อยที่จะกลัวเกรง..!

    ในเมื่อมีการเลี้ยงเด็กด้วยนม ก็จะต้องกินอาหารร้อน เพื่อที่จะไม่ให้นมหยุดไหล ก็จะมีการแกงเลียงใส่พริกไทยเยอะ ๆ หรือไม่ก็ต้มข่าไก่ เหล่านั้นเป็นต้น แล้วการอยู่ไฟก็ต้องอยู่ในห้องที่ปิดทึบ ไม่ให้ลมเข้า ต้องอบต้องย่างอยู่บนเตาไฟ เพื่อที่ไม่ให้กระทบกับความเย็น ซึ่งการกระทบความเย็นนั้นเป็นโรคที่รักษายากสุด ๆ กระทบร้อนแค่กินยาแก้ร้อนในก็หายแล้ว แต่กระทบเย็น บางทีรักษากันเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่หาย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    เนื่องเพราะว่ามีการอยู่ไฟจึงทำให้คนโบราณนั้นแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บแฝงอยู่ สามารถมีลูกได้นับสิบ ๆ คน แต่ว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้อยู่ไฟ ร่างกายไม่แข็งแรง เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องของธาตุในร่างกายคน เมื่อสูญเสียเลือดไปมากในการคลอด ก็คือธาตุไฟบกพร่อง ต้องหาทางเสริม หาทางบำรุง จนกว่าธาตุจะสมบูรณ์ แต่คนรุ่นหลังไม่ได้สนใจตรงนี้ ไม่รู้ว่าอะไรที่ช่วยเสริมธาตุไฟ อะไรที่ช่วยลดทอนธาตุอื่น จึงทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บแฝงอยู่ในร่างกาย ทำให้ไม่แข็งแรงเหมือนคนโบราณ

    อีกโรคหนึ่งนั้นไม่ได้เกี่ยวกับผู้หญิง แต่ว่าผู้หญิงอาจจะเดือดร้อนไม่รู้ตัว ก็คือโรคผู้ชายที่ไปซุกซนมา สมัยนั้นมีโรคที่น่ากลัวอยู่สองโรค ก็คือโรคที่เรียกว่า "หนองใน" ภาษาของทางด้านหมอเรียกว่า "โกโนเรีย" แล้วอีกโรคหนึ่งซึ่งถ้าหากว่าเป็นแล้ว ถึงขนาดปากแหว่ง เพดานโหว่ อวัยวะเพศเน่าหลุดไปเลยก็มี เขาเรียกว่า "โรคซิฟิลิส" แต่ชาวบ้านเรียกง่าย ๆ ว่า"โรคผู้หญิง" ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า "จาโบ้วฮวง"

    โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้ยินแต่คำเล่าลือเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยไปเที่ยวซุกซนแบบนั้น ก็คือถ้าหากว่าเป็นโรคหนองในนั้น ถึงเวลาปัสสาวะแต่ละที ถึงกับต้องเอาหัวโขกข้างฝา..! เพราะว่าท่อปัสสาวะอักเสบไปหมด ปัสสาวะไม่ค่อยจะออก เนื่องจากโรคกินอยู่ข้างใน กลายเป็นหนองข้น ๆ ไหลออกมาแทน บุคคลที่ท่อปัสสาวะอักเสบคงจะนึกออกว่า อาการเจ็บปวดที่เหนือขึ้นไปจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือท่อปัสสาวะอักเสบหลายเท่านั้น รสชาติเป็นอย่างไร ? บางคนถึงขนาด "น้ำตาลูกผู้ชาย" ไหลรินทุกครั้งที่ต้องปัสสาวะ..!

    ส่วนในเรื่องของโรคผู้หญิง หรือซิฟิลิสนั้น ถึงขนาดเชื้อโรคกินให้ปากแหว่ง เพดานโหว่ แม้กระทั่งตอนที่กระผม/อาตมภาพเป็นทหารแล้ว โรคนี้ก็ยังระบาดอยู่ มีเพื่อนฝูงที่เป็น ถึงเวลาปัสสาวะออกมาทีหนึ่งก็ออกได้ ๒ ช่องทาง ๓ ช่องทาง เพราะว่าเชื้อโรคกินจนอวัยวะเพศทะลุเป็นรูหลายรู บางคนก็ถึงขนาดเน่าหลุดไปทั้งยวงเลยก็มี..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    วิธีรักษาก็มีแต่ "ตำรายาผีบอก" ซึ่งจะต้องต้มด้วยลูกยอสุกผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ ใส่ตัวยาต่าง ๆ กันทีหนึ่งก็เป็นปีบ ถึงเวลาต้มก็ส่งกลิ่นเหม็นไป ๘ บ้าน ๑๐ บ้าน..! ทำให้ทุกคนรู้ว่าไอ้บ้านนี้แหละมีคนป่วยเป็นโรคผู้หญิง ซึ่งความจริงน่าจะเรียกว่าโรคผู้ชายมากกว่า แล้วถ้าหากว่าใครมีเมียอยู่ก็เอามาให้เมียเดือดร้อนด้วย เพราะว่าอวัยวะผู้หญิงนั้น สลับซับซ้อนกว่าผู้ชายหลายเท่า ทำให้ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว รักษายากกว่าผู้ชายอย่างชนิดที่แทบจะฆ่าผัวตายไปเลย..!

    สถานที่ซุกซนในสมัยกระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ นั้น อยู่ที่หลัง "โรงกระดานพงศ์เสรี" ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า "ซ่องหลังโรงกระดาน" กระผม/อาตมภาพก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไร แต่สงสารเจ้าของโรงกระดานซึ่งเป็นเถ้าแก่ใหญ่ขายไม้ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจอะไรด้วย แต่ซ่องดันไปตั้งอยู่หลังโรงกระดาน เพราะว่าโรงกระดานเป็นอาคารใหญ่โตมโหฬาร มีสังกะสีตีปิดมิดชิด ๓ ด้าน ยกเว้นด้านหน้า ซึ่งเป็นหน้าถังปิดเปิดแบบประตูพับ เปิดให้รถสิบล้อเข้าออก เพื่อขนไม้ไปส่งลูกค้าได้ ในเมื่อด้านหลังปิดมิดชิดและใหญ่โตมาก จึงทำให้พวกผู้ชาย "หน้าบาง" สามารถที่อาศัยลัดเลาะหลบหลีกสายตาคนอื่นเพื่อไปเข้าซ่องได้..!

    และที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือสถานที่บริเวณนั้น ซึ่งห่างจากบ้านของกระผม/อาตมภาพประมาณ ๑๐ กิโลเมตร จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเหมือนกับเป็นอาถรรพ์ของดงคนบาปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ? ทั้งที่รอบข้างเจริญรุ่งเรืองกันหมดแล้ว แต่ที่นั่นยังหาความเจริญไม่ได้มาจนทุกวันนี้ เป็นเพราะว่าคนรังเกียจหรือว่าต้องอาถรรพ์จริง ๆ ก็ไม่อาจที่จะกล่าวได้เต็มปากเต็มคำนัก..!

    รู้แต่ว่าสมัยนั้น พอเริ่มเป็นหนุ่มขึ้นมาก็จะต้องไปหาทาง "ขึ้นครู" กัน แต่การ
    "ขึ้นครู" ในที่นี้อาจจะมีโรคภัยไข้เจ็บแถมมาด้วย กระผม/อาตมภาพเองก็ได้ยินผู้ใหญ่พูดถึงในสภากาแฟ ในเรื่องของการ "ขึ้นครู" และสารพัดวิธีการ ซึ่งพูดกันแบบไม่ยั้งปาก เด็ก ๆ แม้ว่าจะอายแสนอายแต่ก็เงี่ยหูฟัง เพราะว่าส่วนหนึ่งก็สนุกสนาน ส่วนหนึ่งก็เป็นประสบการณ์ เผื่อว่าตนเองต้องไป "ขึ้นครู" บ้าง แต่จนแล้วจนรอดมาจนอายุ ๖๐ กว่าปี กระผม/อาตมภาพก็ยังไม่เคย "ขึ้นครู" ดูสักที..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นทหารแล้วไปอยู่ชายแดน เพื่อน ๆ พอถึงเวลาก็ชวนกันไปเที่ยวซ่อง จะมีการขนกันไปทีหนึ่งเป็นรถยีเอ็มซี ๒๐ - ๓๐ นาย แต่พอไปต้องไปนอกเวลา เนื่องเพราะว่าถ้าไปตามเวลา เขาจะหากินไม่ได้ เวลาที่ไปก็มักจะหลังเที่ยง ก็คือหลังอาหารมื้อกลางวันแล้ว

    พอไปถึงกลับเป็นเวลานอนพักผ่อนของบรรดา "คุณตัว" ทั้งหลาย ในเมื่อถึงเวลา บรรดา "แม่เล้า" หรือว่า "แมงดา" ตามคำเรียกของคนสมัยนั้น ไปตบประตูเรียกคุณเธอทั้งหลายออกมา แต่ละคนซึ่งไม่ได้อยู่ในเวลารับแขก ก็ไม่ได้แต่งเนื้อแต่งตัว แถมยังล้างหน้าล้างตาจนสะอาดก่อนนอน

    ในเมื่อไม่มีเครื่องสำอางคอยปกปิด แถมยังผมเผ้าเป็นกระเซิง นุ่งกระโจมอกเดินออกมา กระผม/อาตมภาพเห็นแต่ละคนเป็นซากศพไปหมด..! อารมณ์คึกคักต่าง ๆ หดหายไปเกลี้ยง เพื่อนฝูงถามว่า "มึงจะไม่เลือกเลยหรือวะ ?" กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "เชิญพวกมึงตามสบาย กูจะนั่งรออยู่ที่นี่" ถึงเวลาก็เดินทางกลับหน่วยแบบเฉา ๆ โดยเฉพาะอารมณ์เหล่านั้นค้างอยู่ในใจไปหลายต่อหลายวัน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเวทนาสงสารคุณเธอเหล่านั้น หรือว่าจะเวทนาสงสารตัวเอง..!

    แต่ว่าอารมณ์ใจเหล่านั้นทำให้สามารถฝึกกรรมฐานได้ง่ายขึ้น ก็ถือว่าเธอทั้งหลายเหล่านั้นมีบุญคุณอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือทำให้เห็นภาพคนเป็นซากศพติดตา ถึงเวลาเกิดต้องการที่จะไประบายอารมณ์กับใคร ก็รู้สึกนึกถึงภาพนั้นขึ้นมา ทำให้หมดอารมณ์ไปทุกที จนกระทั่งบัดนี้คงจะไม่มีโอกาสไป
    "ขึ้นครู" กับใครอีกแล้ว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...