..เธอต้องยอมรับนับถือก่อนว่า ไม่มีใครทำให้ใจของตนนั้นคิดดีได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีใครทำให้อารมณ์ใจของท่านสามารถจะแช่มชื่นได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนได้ ตราบใดที่ยังมีร่างกายมีอยู่ เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้นะ อย่าฝืนในเมื่อเป็นความจริงที่ไม่สามารถเป็นตามใจเราได้ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ ยอมรับไม๊ ต้องยอมรับมันก่อนนะว่า เราไม่สามารถที่จะทำสิ่งนี้ให้มันดีได้ตลอดเวลา ให้มีอารมณ์โปร่งได้ตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ร่างกายมีอยู่ ไม่มีทาง “เราจึงมีหน้าที่เพียงแค่ว่าไม่คล้อยตาม อันนี้แหละสำคัญ” ที่องค์สมเด็จพระทรงทันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เราได้เห็นว่า “จงอย่าได้ปรุงแต่ง” ภาษาพระเรียกว่าปรุงแต่งนะ ที่ว่าคิดตาม ยินดี คล้อยตามมันไป “ถ้าผู้รู้มีสติดีมากจนถึงขั้นบริสุทธิ์แล้ว คิดไปดีก็ไม่ปรุงแต่งตาม คิดไปไม่ดีก็ไม่ปรุงแต่งตาม คือไม่ไปทั้งยินดีและยินร้ายทั้งสองอย่าง” เพราะเห็นว่าสิ่งนี้ไม่มีสาระที่จะต้องไปตามอะไรกับมัน มันเป็นเรื่องของร่างกาย เราต้องการเพียงแค่ว่าพ้นจากร่างกายนี้ไป อยู่ยังไง ก็อยู่แบบเฉยๆ “รู้ความจริงมันคืออะไร ก็ปล่อยมันไป” พระท่านจึงมักพูดว่า “เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีอะไร” กว่าจะพูดคำนี้ได้ก็ล่อมาหลายอสงไขยนะ อืม.. คัดบางส่วนจากเสียงธรรมด้านบน