เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพไปร่วมทำวัตรเช้ากับผู้เข้าอบรมเจ้าอาวาสใหม่ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ รุ่นที่ ๓/๒๕๖๗ โดยมีหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เป็นผู้นำในการทำวัตรเช้า

    หลังจากนั้นแล้วกระผม/อาตมภาพก็ได้ถวายปัจจัยสนับสนุนงานอบรมครั้งนี้เป็นจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ฟังดูแล้วเหมือนกับมาก แต่ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่ามาเห็นงานของทางวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) แล้ว จะรู้ว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาทนี้ ถ้าอยู่ได้วันหนึ่งก็นับว่าสุดยอดแล้ว..!

    เนื่องเพราะว่าไม่ว่าจะเป็นที่กิน ที่อยู่ ที่อบรม ตลอดจนกระทั่งวิทยากรที่กราบอาราธนามาถวายความรู้แก่เจ้าอาวาสใหม่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นรายจ่ายที่มหึมามโหฬารทั้งสิ้น ทางด้านพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม ท่านยังปรารภกับกระผม/อาตมภาพว่า "เรื่องแบบนี้ก็ต้องสู้กันไป ถ้าหากว่าหมดตัววันไหนก็เลิกทำ..!"

    กระผม/อาตมภาพกยังเรียนถวายว่า "ผมว่าผมงานมากแล้ว แต่เห็นเจ้านายทำงานแบบนี้ ผมก็ยังเหนื่อยแทน" ท่านตอบว่า "จะทำอย่างไรได้ เป็นผู้นำเขา ถ้าไม่นำในทุกเรื่อง สั่งอะไรคนก็ไม่ค่อยจะตาม" แล้วท้ายที่สุดก็ไปปรารภว่า ในเรื่องของการแต่งตั้งบุคคลเข้ารับตำแหน่งโน้น ตำแหน่งนี้ ตำแหน่งไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับตำแหน่งเจ้าอาวาส

    เนื่องเพราะว่าในพระสังฆาธิการ คือพระที่มียศมีตำแหน่งทั้ง ๑๒ ระดับ ก็คือเจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาสนั้น ตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุด

    เนื่องเพราะว่าตำแหน่งข้างบนมีคำสั่งลงมาตามลำดับ แต่ผู้ที่รับไปปฏิบัติอย่างแท้จริงก็คือเจ้าอาวาส ถ้าหากว่าเจ้าอาวาส "เข้าเกียร์ว่าง" เสียอย่างเดียว งานคณะสงฆ์ก็ไปไม่ได้ ขณะเดียวกัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่เข้มแข็ง ประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง บริหารวัดไม่เป็น สภาพวัดก็จะทรุดโทรมลงไปทันตาเลย..!

    กระผม/อาตมภาพก็เห็นด้วยว่า
    ตำแหน่งเจ้าอาวาสนั้นเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุด ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสเข้มแข็ง ดูแลพระภิกษุสามเณรในวัดอย่างเข้มงวด ความลำบากใจต่าง ๆ จะไม่มีถึงผู้บังคับบัญชาเลย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็เป็นอย่างนี้ คือ มีอะไรให้จบลงตรงที่ตัวเอง จะไม่ให้สะเทือนไปถึงผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นระดับไหนก็ตาม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้บังคับบัญชาท่านกลับเห็นว่าเป็นผู้มีความสามารถ ดังนั้น..มีตำแหน่งอะไร ท่านก็แต่งตั้งมาอยู่เรื่อย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ คนเดียวรับไป ๓๐ กว่าตำแหน่งแล้ว วันนี้ก็ยังมีการปรารภว่า น่าจะได้เลื่อนให้ใหญ่กว่านี้ เพราะว่างานที่กระผม/อาตมภาพทำนั้น ใหญ่กว่าตำแหน่งไปมาก..!

    กระผม/อาตมภาพเคยกราบเรียนผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นแล้วว่า ในเรื่องของงานคณะสงฆ์นั้น ต่อให้กระผม/อาตมภาพไม่มียศ ไม่มีตำแหน่งอะไร ก็ยินดีและพร้อมที่จะช่วยเหลือ เนื่องเพราะถือว่าเป็นการเกื้อกูลพระพุทธศาสนา เป็นการแบ่งเบาภาระหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ แล้วก็กระทำไปเพื่อฝึกฝนกำลังใจของตนเอง ให้ใกล้มรรคใกล้ผลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พูดง่าย ๆ ว่าเอางานมาขัดเกลากิเลสในใจของตนเอง ระหว่างทำงานก็ต้องคอยสังเกตว่า มี รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นในใจหรือไม่ ? ถ้าเกิดแล้วเราระงับทันหรือไม่ ? การระงับได้ทันนั้น เร็วช้าเท่าไร ? ดีขึ้นหรือว่าแย่ลง ? เป็นต้น

    ในเมื่อเอางานเป็นการขัดเกลากิเลส หลายท่านก็บอกว่า กระผม/อาตมภาพนั้น "บ้างาน" บ้าง "จริงจังกับชีวิตมากเกินไป" บ้าง กระผม/อาตมภาพเห็นว่า ถ้าเราจริงจังเพื่อการหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน คงไม่มีอะไรที่จะมากเกินไป เนื่องเพราะว่าการไปพระนิพพานนั้น ต่อให้ต้องแลกกันด้วยชีวิตก็สุดแสนที่จะคุ้มค่า..!

    แต่เมื่อกราบลาผู้บังคับบัญชามาหลังจากพิธีเปิดแล้ว ก็ต้องมากระทบกับเรื่องในกลุ่มไลน์ เนื่องเพราะว่าในกลุ่มไลน์ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น มีบุคคลผู้หนึ่งเข้ามาปรารภถึงความงดงามในการคัดเลือกอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าเป็นการคัดเลือกที่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ได้บุคคลที่เหมาะสมกับหน้าที่

    แล้วก็ปรารภมาถึงมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ก็คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ว่าการคัดเลือกอธิการบดีของทั้งสองวิทยาลัยนั้น ควรที่จะมีความโปร่งใสในลักษณะอย่างนี้ ก็คือให้ผู้ที่ลงรับเลือกเป็นอธิการบดี มาทำการเข้าสมาธิแข่งกัน ประมาณว่าต้องมีความคล่องตัวในเรื่องของสมาธิสมาบัติ โดยเฉพาะให้เข้าอาเนญชาสมาธิ สัก ๕ วัน ใครขยับก่อนถือว่าพลาด ให้ผู้ที่ขยับทีหลัง รับตำแหน่งอธิการบดีไป..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    กระผม/อาตมภาพจึงใช้ถ้อยคำรุนแรงในกลุ่มไลน์ว่า "เลอะเทอะมาก" เนื่องเพราะว่าการเข้าสมาธิสมาบัติในอาเนญชาสมาธิ คำว่าอาเนญชาสมาธิ คือสมาธิที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว คำว่าไม่หวั่นไหวในที่นี้ก็คือ ไม่หวั่นไหวต่อ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เข้ามากระทบ

    บุคคลที่ทรงตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่สามารถทำให้หวั่นไหวได้แล้ว แล้วถ้าสามารถทรงถึงฌาน ๔ ได้ ก็ยิ่งมีความมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง จนบุคคลหลายคนที่ทรงฌาน ๔ ได้ใหม่ ๆ หลงเข้าใจผิด คิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง โดนอำนาจของฌานสมาบัติ กดนิ่งสนิทไปเลย แต่เมื่อหลุดออกจากฌานสมาบัติเมื่อไร ก็ รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัวเหมือนเดิม แล้วจะมีประโยชน์อะไรในการคัดเลือกอธิการบดีของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง โดยการให้ไปเข้าสมาธิแข่งกัน ?

    เนื่องเพราะว่าถ้าบุคคลที่ทำได้ ทำถึงจริง ๆ ก็ไม่มีใครอยากจะแบกรับภาระ เพราะเห็นว่าแม้แต่ร่างกายนี้ก็ทุกข์เหลือทนแล้ว ต้องพยายามหลีกหนีไปให้พ้น แล้วจะไปเอางานอื่นมาให้ท่านแบก ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ส่วนบุคคลที่สามารถเข้าโลกียสมาธิได้ ครั้นคลายสมาธิออกมา ก็ รัก โลภ โกรธ หลง เต็มตัวเหมือนเดิม แล้วมีประโยชน์อะไรที่จะไปนั่งเป็นตอไม้แข่งกัน ?

    สำหรับท่านที่พูดมา ถ้าไปเจอบุคคลที่ทรงฌานใช้งาน ไม่ว่าจะ ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ หกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ทรงฌาน ๔ หรือว่าสมาบัติ ๘ ได้ ด้วยความที่ตนเองไม่รู้และเข้าไม่ถึง ก็จะไปว่าเขาไม่สามารถที่จะทรงสมาธิได้อีก ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขากระทำนั้น ลักษณะเหมือนกับน้ำปากบ่อที่ลึกมาก ก็คือน้ำปากบ่อกระเพื่อมไปตามแรงลม หรือสิ่งที่มากระทบ แต่ส่วนลึกลงไปนั้น นิ่งสนิท ไม่มีหวั่นไหว ไม่มีขุ่นมัวไปตามแรงกระทบนั้น ๆ

    ท่านที่ไม่เข้าใจก็จะไปว่าท่านทำไม่ได้ แล้วไปตัดสินให้ท่านแพ้อีกต่างหาก..! กระผม/อาตมภาพฟังแล้วก็ "หัวจะปวด" จึงได้ถามว่า ถ้าต้องนั่งสมาธิเป็นหัวตอแข่งกันแบบนั้น แล้วจะได้ประโยชน์อะไร ? ในเมื่อคลายสมาธิออกมาแล้ว ก็ รัก โลภ โกรธ หลง เต็มตัวเหมือนเดิม บุคคลที่จะมาเป็นอธิการบดีนั้น
    แค่เป็นบุคคลที่รู้จักละอายชั่ว กลัวบาป ถึงเวลาเว้นจากอคติ ๔ ได้ เข้าใจว่าหน้าที่ของตนมีอะไรบ้าง สามารถกระทำได้ถูกต้องก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องไปนั่งสมาธิหัวตอแข่งกันแบบนั้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เมื่อกระผม/อาตมภาพคอมเม้นต์ไปดุเดือด แต่ปรากฏว่ามีผู้เห็นด้วย เข้ามาคอมเม้นต์ซ้ำว่า "คนพูดต้องทำได้ก่อน ถ้าคนพูดทำไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะตัดสินได้ว่า ผู้อื่นทำได้จริงหรือไม่ ?" กระผม/อาตมภาพเห็นว่าชักจะ "go so big" กันไปใหญ่ ก็เลยจำเป็นต้องหยุดการให้ความเห็นแต่เพียงเท่านั้น

    แต่ก็ยังมาเจอเหตุการณ์ที่มีบุคคลนำเอาคลิปมาลงว่า พ่อครูของตนเองกล่าวว่า หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ปรมาจารย์ใหญ่สายพระป่าภาคอีสานนั้น สอนผิดจากพระพุทธเจ้าอย่างไรบ้าง ? อาการ "หัวจะปวด" เหล่านี้ ก็คงจะมีขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะว่าพ่อครูท่านนั้นก็มีลูกศิษย์ลูกหาที่เชื่อถือศรัทธามากอยู่เหมือนกัน

    ถ้าหากว่าหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าปฏิบัติในสิ่งผิด ๆ ตามที่หลวงปู่มั่นสอน ก็คงไม่สามารถที่จะมรณภาพ แล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุจำนวนมากกันขนาดนั้น และเป็นพระธาตุที่แท้จริง เนื่องจากว่าสภาพจิตฟอกธาตุขันธ์จนสะอาดตามจิตไปด้วย เป็นหลักฐานที่ยืนยันมรรคผลของท่านได้อย่างชัดเจน ถ้าปฏิบัติผิดก็คงจะไม่ได้มรรคไม่ได้ผลเช่นนั้น

    หรือพ่อครูจะเข้าใจว่า จะต้องสอนตามพระพุทธวจนะเป๊ะ ๆ เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นก็ "เถรตรง" จนเกินไป
    เพราะว่ายุคหนึ่งสมัยหนึ่ง สำนวนในการสอนก็จะต้องปรับให้เหมาะสมกับยุคสมัยนั้น ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วพระไตรปิฎกก็คงไม่ต้องมีอรรถกถา มาอธิบายข้อความที่ไม่เหมาะกับยุคสมัยนั้น แล้วอรรถกถาจารย์ก็คงไม่ต้องมีฎีกาจารย์มาอธิบายข้อความ เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยต่อมา แล้วฎีกาจารย์ก็คงไม่ต้องมีอนุฎีกาจารย์มาอธิบายข้อความเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยของตน แล้วอนุฎีกาก็คงไม่ต้องมีพระเกจิอาจารย์ มาอธิบายให้เหมาะสมกับยุคสมัยของตน เอาพระพุทธวจนะล้วน ๆ ซึ่งฟังแล้ว สมัยนี้ไม่ทราบว่าเข้าใจกันหรือเปล่า ?! แล้วก็ปฏิบัติไปตามนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ถือว่าโง่จนเกินไป..!

    ส่วนอีกท่านหนึ่งก็กล่าวว่า หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั้นอวดอุตริมนุสสธรรม เพราะว่าหลายสิ่งหลายอย่างนั้นไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่มีในพระพุทธวจนะ กระผม/อาตมภาพดูท่าจะต้องฉันยาแก้ปวดหัว ยาแก้ปวดท้อง สารพัดยาแก้ปวด แม้กระทั่งแก้ปวดใจไปด้วย..!

    เนื่องเพราะว่าบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทำให้คนหลงผิดไปจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปัจจุบันนี้มีมากขึ้นไปทุกที ยังดีที่ท่านไม่บอกว่า ให้ "เชื่อมจิต" ไปขอบรรลุจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ไม่เช่นนั้นก็น่าจะฮามากกว่านี้อีก..!

    กระผม/อาตมภาพยิ่งฟังก็ออกอาการ "หัวจะปวด" จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...