เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 ตุลาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตั้งแต่วันนี้ไปเป็นเวลา ๙ วัน จะอยู่ในเทศกาลกินเจของพี่น้องชาวจีนในประเทศไทย ต้องย้ำคำว่า "ชาวจีนในประเทศไทย" เพราะว่าประเพณีแบบนี้ไม่มีในประเทศจีน ฟังดูแล้วงง ๆ ไหม ?

    เนื่องเพราะว่าประเพณีกินเจมาจากการก่อกบฏของโจรโพกผ้าเหลือง ใครที่ได้เรียนเรื่องสามก๊กมาก็จะรู้ว่า หัวหน้าโจรโพกผ้าเหลืองก็คือ "เตียวก๊ก" แต่คราวนี้คำว่า "เตียว" ของภาษาจีนฮกเกี้ยนนั้น ภาษาจีนกลางเรียกว่า "จาง" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จีนกลางจะไม่รู้จัก "เตียวก๊ก" จะรู้จักแต่ "จางเทียนซือ" ก็คืออาจารย์จากสวรรค์แซ่จาง

    ด้วยความที่ว่าถ้ามีปาฏิหาริย์อะไรจะทำให้คนเลื่อมใสและเชื่อถือได้ง่าย ดังนั้น จางเทียนซือจึงแสดงปาฏิหารย์ต่าง ๆ หลายอย่างให้ดู อย่างเช่นว่าใช้อาวุธเชือดเนื้อ หรือแทงตัวเองแล้วก็ไม่มีบาดแผล เป็นต้น เมื่อคนเลื่อมใสมาก ๆ ก็ทำการก่อกบฏ ทำให้ต้องปราบปรามกันอยู่หลายปี ในเรื่องสามก๊ก เราจะเห็นว่า เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็ต้องไปทำหน้าที่ปราบโจรโพกผ้าเหลือง

    คราวนี้โจรกลุ่มนี้มีพฤติกรรมอย่างหนึ่งก็คือการกินเจ กินมังสวิรัติ เว้นจากเนื้อสัตว์ ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่าธงเจก็เป็นสีเหลือง กลุ่มโจรนี้ก็โพกผ้าเหลือง ก็แปลว่าในสมัยนั้นถ้าใครกินเจในประเทศจีน ก็คือเป็นโจรโพกผ้าเหลืองหรือพวกกบฏ..! แล้วจะให้ประเพณีเจริญในประเทศจีนย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นธรรมเนียมของกบฏ..!

    แต่คราวนี้ประเพณีนี้ที่มาเจริญในประเทศไทยของเรา เกิดจากการที่มีพี่น้องเชื้อสายจีนจำนวนมากอพยพเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการหนีภัยจากทางการก็ดี หรือตั้งใจมาหาที่ทำกินใหม่ก็ตาม ก็นำเอาแบบธรรมเนียมนี้มาใช้ต่อ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยกลายเป็นประเพณีกินเจในบ้านเราเมืองเราอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

    ดังนั้น..ถ้าหากว่านับกันแต่แรกเริ่มแล้ว ประเพณีกินเจมีที่มาไม่ดี แต่พอถึงเมืองไทยก็มีการปรับเข้ากับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนามหายาน ก็คือ
    ด้วยความที่เป็นพระโพธิสัตว์มีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็เลยไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยการกินเลือดกินเนื้อเขา หากแต่ว่าเปลี่ยนไปกินพวกผัก เราจะเห็นว่าพระสงฆ์ฝ่ายมหายาน ไม่ว่าจะเป็นจีนนิกายหรืออนัมนิกายบ้านเราก็คือกินเจเป็นหลัก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    คราวนี้ที่บ้านเราเทศกาลกินเจก็จะมีการทรงเจ้า มีการเอาอาวุธมาแทงตัวเอง นั่นก็คือลักษณะการแสดงอภินิหารแบบเดิม ๆ ที่จางเทียนซือหรือเตียวก๊กทำให้บริวารดู แต่จากที่กระผม/อาตมภาพมีประสบการณ์ด้วยตนเอง ไม่ใช่จากการไปดูงานกินเจ แต่ว่าไปดูขบวนแห่เจ้าแม่กวนอิมที่หาดใหญ่

    ด้วยความอยากจะเห็นเพราะเขาบอกว่ามีการทรงเจ้าเข้าผีกันด้วย ไปยืนรอตั้งแต่ประมาณ ๙ โมง จนเกือบจะ ๑๐ โมง แดดร้อนขึ้นทุกทีก็ทนไม่ไหว สงสัยว่าทำไมไม่ทรงเสียที ? จึงตั้งใจถามเจ้าที่ซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น เจ้าที่เขาบอกว่า "เจ้าพวกนั้นมันเกรงใจท่านครับ มันเลยไม่กล้าลง" พอตั้งใจดูก็เห็นแต่พวกผีเล็กผีน้อยเยอะแยะเต็มไปหมด จึงถามว่า "แล้วใครเป็นคนควบคุมเจ้าพวกนี้ ?" เจ้าที่เขาบอกว่า "ผมเองครับ ถ้าหากว่าไม่ควบคุม บางทีเจ้าพวกนี้ก็ทำอะไรเกินไป จนกระทั่งอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้"

    กระผม/อาตมภาพถามต่อไปว่า "ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร ?" เขาบอกว่า "ในเมื่อพวกนี้มาแทรกในร่างม้าทรงแล้ว ก็แสดงอภินิหารต่าง ๆ ให้เห็น อย่างเช่นว่าใช้ลูกตุ้มหนามฟาดตัวเองแล้วก็ไม่มีบาดแผล หรือใช้อาวุธแทงตัวเอง ถึงเวลาดึงออกก็ไม่มีบาดแผล ก็จะทำให้คนทั่วไปศรัทธาเลื่อมใส แล้วก็ร่วมบุญกับทางด้านสถานที่บูชาแห่งนั้น ก็เท่ากับว่าได้ทำบุญทำกุศลด้วย ถือว่าสร้างกุศลให้กับตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้ที่ไปในภพใหม่ของเขาได้ดีขึ้น"

    กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ลงเสียทีเถอะพ่อคุณ แดดร้อนเต็มทีแล้ว" พอได้รับอนุญาตเท่านั้นแหละ พวกลงกันครึกครื้นมาก ลงกระทั่งคนคุมขบวน..! คราวนี้พอไม่มีคนคุมขบวนก็มีหวังบรรลัยแน่ เขาก็เลยไปขอร้องร่างทรงที่ถือว่าทรงเจ้าแม่อยู่ ให้ถอนการลงทรงของคนคุมขบวน จะได้ไปดูแลขบวนได้ ก็เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ได้ไปดู เห็นอย่างชัดเจนว่า
    การที่เจ้าเข้าทรงนั้น ถ้าหากว่าเจ้าในความรู้สึกของเรา ก็น่าจะเป็นเทวดา หรือว่าเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ปรากฏว่ามีแต่ผีเล็กผีน้อยเต็มไปหมด ที่เป็นใหญ่ที่สุดในที่นั้นก็เป็นแค่พระภูมิเจ้าที่เท่านั้น..!

    ดังนั้น..ในเรื่องของการกินเจ ในเมื่อที่มาไม่ดี ก็เลยไม่เป็นที่นิยมในประเทศจีน เพราะว่าถ้าขืนทำไป โดนข้อหากบฏก็อาจจะโดนตัดหัว ๗ ชั่วโคตร..! ก็เลยมาโด่งดังที่เมืองไทยแทน กลายเป็น Soft Power คนแห่กันไปดูการทางเจ้า ไม่ว่าจะที่ภูเก็ต ที่หาดใหญ่ หรือว่าที่พังงา ไปกันอย่างชนิดที่มืดฟ้ามัวดิน ทำให้เศรษฐกิจของเขาดีขึ้นมาก แล้วบรรดาเทศกาลใหญ่ ๆ โต ๆ เหล่านี้ก็แทบจะมีทั่วประเทศไทย เพราะว่าคนไทยปัจจุบันนี้มีเชื้อสายจีนเก่ากับแทบทั้งนั้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    การกินเจมีการเว้นจากพืชผักที่มีกลิ่นฉุนบางประเภท อย่างเช่นกระเทียม เป็นต้น เพราะว่าพืชผักเหล่านี้จะไปกระตุ้นกามราคะ ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกว่ากินแล้วไม่สะอาดหรือว่าไม่ดี ก็จะพลอยเว้นไปด้วย แต่ประหลาดอยู่เรื่องหนึ่งก็คือการกินเจ เขาไม่เว้นจากหอยนางรม..!

    กระผม/อาตมภาพเคยได้ยินผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟังว่า ครั้งที่ซุนหงอคงพาพระถังซำจั๋งไปยังชมพูทวีป ไปติดอยู่ที่ชายทะเล ไม่มีข้าวปลาอาหารอะไร ไม่มีหมู่บ้านให้บิณฑบาต ซุนหงอคงก็เลยเอากระบองของตนเองแหย่ลงไปในทะเล แกว่ง ๆ แล้วก็อธิษฐานว่า "อะไรที่เป็นอาหารเจก็ขอให้ติดกระบองขึ้นมา" ปรากฏว่ามีหอยนางรมติดกระบองขึ้นมา เจ้าหอยนางรมก็เลยซวย กลายเป็นอาหารเจ..! แต่ว่าเรื่องพวกนี้ผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟัง

    อีกเสียงหนึ่งเขาบอกว่าหอยนางรมเป็นสัตว์ที่แปลกมาก ก็คือไม่มีเลือด แล้วก็ไม่มีกลิ่นคาว แต่คราวนี้กระผม/อาตมภาพไม่เคยฉัน ก็เลยยืนยันตรงนี้ไม่ได้ เพราะว่าเพื่อนฝูงชวนไปทีไรก็มีแต่หอยนางรมสด แล้ว
    พระเราก็ห้ามฉันของสด ก็เป็นอันว่าอดไป ในเมื่อยืนยันไม่ได้ จึงไม่ขอยืนยันที่มาในเรื่องของหอยนางรมนี้ แต่ถ้าหากว่าที่ผู้ใหญ่เขาเคยเล่าให้ฟัง ก็ถือว่าเป็นนิทานปรัมปราซ้อนนิทานในเรื่องไซอิ๋วอยู่อีกทีหนึ่ง

    คราวนี้การกินเจนั้น ถ้าหากว่าตั้งใจทำด้วยจิตที่เมตตาต่อสรรพสัตว์จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่าถ้าทำในลักษณะนั้นก็ต้องเพิ่มอาหารโปรตีนประเภทพวกถั่วอะไรให้มากขึ้น จะได้ทดแทนเนื้อสัตว์ได้ แต่ถ้าหากกินเจแล้วไปคิดว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นคนสะอาด ไม่เบียดเบียนคนอื่น กูเป็นคนดีกว่า ถ้าลักษณะนั้นเขาเรียกว่ากินแล้วแบกกิเลสไปด้วย ก็จะตกอยู่ในลักษณะของการทำบุญเอาหน้า


    ในเรื่องของการกินเจ อย่างสมัยที่หลวงตาปรีชา (พระปรีชา อกิญฺจโน) ยังอยู่ ท่านก็จะไปขออาหารที่โรงเจ กระผม/อาตมภาพต้องดุเอาว่า "หลวงตากำลังจะหาเรื่องอาบัติติดตัว" ก็คือ "อาหารในโรงทานที่ทำทั่วไปไม่นิยมบุคคล ภิกษุไปรับอาหาร ๒ วันติดกันต้องอาบัติปาจิตตีย์" ถ้าอยากกินเจเพราะว่าทำจนกระทั่งเคยชินก็ไปบอกแม่ชีเขาผัดผักให้ ไม่ใช่ไปรับอาหารจากโรงเจ เดี๋ยวจะศีลขาดเสียเปล่า ๆ เพราะขาดความระมัดระวัง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เรื่องพวกนี้ บางทีการที่ทำไปพระของเราก็ไม่ค่อยจะรอบคอบ ในเมื่อไม่รอบคอบ โอกาสที่จะทำผิดพลาดก็มี แต่ยังดีที่ครูบาอาจารย์เตือนแล้วท่านก็ยังฟัง ตอนหลังท่านถึงได้มาตายอยู่กับวัดท่าขนุน เพราะว่าไปอยู่กับคนอื่นไม่ได้ ใครเตือนแล้วไม่ค่อยจะฟัง นี่กระผม/อาตมภาพมานินทาผีลับหลัง ยังดีที่ท่านตายไปแล้ว..!

    ฉะนั้น..
    ถ้าหากว่าใครคิดว่าจะกินเจเพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ก็กินตลอดชีวิตไปเลย ไม่ใช่มากินอยู่แค่ ๙ วัน แต่ถ้าหากว่าตั้งใจว่าช่วง ๙ วันนี้ เราจะสร้างความดีด้วยการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ จะกินเจอย่างเดียวหรืออะไร ก็แล้วแต่กำลังใจของแต่ละคน

    เพียงแต่ว่าในเรื่องของข้าวปลาอาหารนั้นมีส่วนไม่มาก ในการที่ช่วยให้เราละกิเลส เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่กิเลสอยู่ในใจของเรา ต้องขัดเกลาอยู่ตลอดเวลา เผลอเมื่อไร แม้กระทั่งเรื่องดี ๆ อย่างการกินเจ ก็เอาไปข่มชาวบ้านเขาเสียแล้ว ถ้าลักษณะนั้น ไม่กินเจดูท่าจะดีกว่า..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...