เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกรที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 มกราคม 2025 at 08:43.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,111
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,592
    ค่าพลัง:
    +26,439
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกรที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,111
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,592
    ค่าพลัง:
    +26,439
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ พวกเราพักอยู่ในโรงแรมในหมู่บ้านสโนว์ทาวน์เลย เมื่อวานนี้เราพักอยู่ในโรงแรมที่หมู่บ้านเอ้อร์หลางเหอ แต่กระผม/อาตมภาพไปเข้าใจผิด คิดว่าเป็นหมู่บ้านสโนว์ทาวน์ไปแล้ว

    อากาศช่วงเช้าที่บ้านเอ้อร์หลางเหอ อยู่ที่ -๒๘ องศาเซลเซียส แต่ว่ามีหิมะตก พวกเราที่ตื่นเช้าจึงออกไปเดินตากหิมะกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากว่าแทนที่จะหนาว กลับรู้สึกว่าเย็นสดชื่นมาก เมื่อเดินดูหิมะที่อยู่โดยรอบแล้วก็ยังคิดว่า ในความรู้สึกของนักท่องเที่ยวก็คือความสวยงาม แต่ถ้าเป็นบุคคลซึ่งอยู่แถวนี้ เขาก็คงจะทำมาหากินกันยากมาก นอกจากช่วงฤดูหนาวประมาณ ๔ เดือนที่บรรดานักท่องเที่ยวจะแห่แหนกันมาชมหิมะเท่านั้น

    ครั้นถึงช่วงอาหารเช้า ปรากฏว่าทางโรงแรมที่พักบริการดีมาก แม้ว่าพวกเราจะขอให้จัดอาหารในเวลา ๖ โมงครึ่งของทางเมืองจีน ซึ่งตรงกับตี ๕ ครึ่งเมืองไทย ไม่ใช่เวลาปกติ แต่ว่าทุกคนก็บริการให้ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส คอยสอบถามว่าขาดเหลืออะไรกันบ้าง ?

    ครั้นถึงเวลาคืนห้องเรียบร้อยแล้ว พวกเรากลับขึ้นรถบัส หิมะก็ตกลงมาอย่างหนัก แต่ว่าในขณะที่เดินทางไปยังยอดเขาต้าทูติ่งจือ ซึ่งเป็นยอดเขาหิมะที่สูงที่สุดของเมืองฮาร์บินนั้น เห็นมีรถคอยกวาดหิมะ ตักหิมะอยู่ตลอดเส้นทาง พวกเราก็รู้สึกเบาใจ ประกอบกับโชเฟอร์นั้นเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกับเส้นทาง จึงไม่มีอะไรให้หนักใจว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ ?

    ประกอบกับ
    "ต้าเหนียง" และบริวารที่แห่แหนคอยตามดูแลอยู่ตลอดเวลา ความหนักใจที่มีมาตั้งแต่ต้นก่อนจะเดินทางก็หายไปจนหมดสิ้น เรียกง่าย ๆ ว่ามอบกายถวายชีวิต ให้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มอบหมายความไว้วางใจให้กับเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายไปอย่างเต็มร้อยเลยทีเดียว..!

    ประมาณ ๘ โมงเช้าพวกเรามาถึงลานจอดรถที่เชิงเขาต้าทูติ่งจือ อันดับแรกเลยที่ถามหาก็คือห้องน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้ว บริเวณแหล่งเที่ยวของประเทศจีนนั้น เราสามารถขอใช้ห้องน้ำในร้านค้าได้ แต่ว่าที่นี่บอกว่าห้องน้ำในร้านค้าปิดไป ให้ใช้เฉพาะห้องน้ำบริเวณลานจอดรถอย่างเดียวเท่านั้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,111
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,592
    ค่าพลัง:
    +26,439
    เมื่อกระผม/อาตมภาพไปถึง ยังชื่นชมว่าเป็นห้องน้ำที่งดงามสุด ๆ เนื่องเพราะว่ามีหิมะทับถมอยู่บนหลังคา หนาเป็นฟุต ๆ ดูนุ่มฟูเหมือนกับเอานุ่นมากองไว้ แต่พอเดินเข้าไปด้านในก็ต้องถอนใจ เพราะว่าเป็นส้วมหลุมตามปกติ ซึ่งก็คือการที่ขุดหลุมเรียงเอาไว้โดยไม่มีอะไรกำบัง แต่ยังดีว่าเป็นผู้ชายและเคยชินกับสถานที่แบบนี้ จึงสามารถทำธุระเบาได้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนอื่นจะทำได้หรือไม่ ?

    เมื่อออกมาสอบถามดูได้รับคำตอบว่า เก็บเอาไว้ลงจากยอดเขามาแล้วทำธุระทีเดียวดีกว่า เนื่องเพราะว่าแต่ละคนประเดประดังใส่ชุดเข้าไปจนถอดยากมาก กระผม/อาตมภาพซึ่งเป็นคนผอมมาทั้งชีวิตและนึกอยากจะอ้วนมาโดยตลอด เมื่อใส่กางเกงสองตัวซ้อนกันแล้วก้มลงไปใส่รองเท้ากันหิมะ ยังรู้สึกว่าก้มได้ลำบาก ทำเอาความอยากอ้วนหายวับไปกับตา..!

    พวกเราต้องรอจนน้องปูเป้ไปซื้อตั๋ว แล้วก็เดินเรียงตามกันขึ้นไปเพื่อผ่านเครื่องนับอัตโนมัติ ซึ่งทางคนที่คุมอยู่ก็คอยเช็คจำนวนให้ตรงกับหน้าตั๋ว ครั้นไปถึงบริเวณที่จะต้องขึ้นรถลำเลียงขึ้นไปยังยอดเขา เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินว่า "ไท่กั๋ว" ก็คือประเทศไทย ก็ส่งโทรโข่งในมือให้น้องปูเป้ทำหน้าที่บรรยายแทน ว่าแต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างไรบ้าง ?

    เมื่อพวกเราออกมาข้างนอก กระผม/อาตมภาพก็ตะลึง เนื่องเพราะว่ารถที่เห็นอยู่ก็คือรถตีนตะขาบทางทหาร ที่ทางบ้านเราเรียกว่า "รสพ." ย่อมาจาก "รถสายพานลำเลียงพล" แต่ทางด้านนี้รัฐบาลจีนสนับสนุนให้เอามาขนคนขึ้นบนยอดเขา สามารถที่จะยัดกันเข้าไปได้คันละเป็น ๑๐ คน แต่มีอาเจ๊คนหนึ่งไปนั่งอยู่ทางด้านหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้ก่อนแล้ว พวกกระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยว่า "ยายเจ๊นี่มาทำอะไร ?"

    ปรากฏว่าพอทุกคนขึ้นมาและปิดท้ายรถ ไม่สามารถที่จะหนีไปได้แล้ว อาเจ๊ก็วาดลวดลายแม่ค้าขายของจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นแว่นกันแดด หมวกกันหนาว ที่ครอบหู ผ้าพันคอ สารพัด ถึงขนาดขอใช้เครื่องแปลภาษาในเครื่องของพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.,ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ให้ช่วยแปลภาษาและบอกกับพวกเราทุกคน แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ประเดประดังใส่กันมาเต็มที่แล้ว

    ตัวกระผม/อาตมภาพที่ถอดแว่นใส่กระเป๋าเสื้อโค้ตเอาไว้ เพราะว่าเวลาหายใจแล้วแว่นเป็นฝ้าหมด ไม่สามารถใช้งานได้ ก็งัดเอาแว่นตาขึ้นมาใส่ และปิดแผ่นกันแดดลงมา ทำเอาอาเจ๊เดินกระฟัดกระเฟียดเดินลงจากรถไป ที่ไม่สามารถจะขายของได้เลย ปล่อยให้พลขับพาพวกเราตะลุยขึ้นบนยอดเขา

    รถตีนตะขาบตะกุยโครม ๆ ขึ้นไปชนิดตับไตไส้พุงแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ ทางด้านหลังก็มีตามมา ทางด้านหน้าก็มีสวนลงมา แสดงว่านักท่องเที่ยวมากันมากมายตั้งแต่เช้าแล้ว เขานำเรามาจอดที่บริเวณลาน ซึ่งมีทั้งรถสโนว์โมบิลและมีอูฐอยู่เป็นจำนวนมาก ให้นักท่องเที่ยวสามารถอาศัยขึ้นบนยอดเขาได้ แต่เมื่อพวกเราตีตั๋วสโนว์โมบิลมาตั้งแต่ต้นแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงต้องขึ้นสโนว์โมบิลไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยากจะขี่อูฐมากกว่า
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,111
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,592
    ค่าพลัง:
    +26,439
    กระผม/อาตมภาพสองคนกับพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ., ดร. อัดขึ้นไปบนสโนว์โมบิล ๑ คัน แล้วเจ้านั่นก็บินไปจริง ๆ ด้วยความเร็วน่าจะเกิน ๑๐๐ ชนิดที่ไม่สนใจว่าคุณจะนั่งเป็นหรือไม่เป็น..?! คุณจะตกจะหล่นลงมาบาดเจ็บหรือไม่ ? ภายในพริบตาเดียวก็พาเราขึ้นไปถึงยอดเขาด้วยความมันในอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง อยากจะสอบถามความรู้สึกคนอื่น ๆ ว่ารสชาติชีวิตเป็นอย่างไรก็เกรงใจ เนื่องเพราะว่าอากาศบนยอดเขาตอนนี้ -๓๑ องศาเซลเซียส แต่ว่าไม่สามารถที่จะแคปหน้าจอเอาไว้ได้ เนื่องเพราะว่านิ้วมือแข็งไปหมด..!

    น้องปูเป้บอกให้พวกเราจดจำจุดนัดพบเอาไว้ว่า ถึงเวลาแล้วให้มารอกันตรงนี้ ถ้าหากว่าทนหนาวไม่ไหวก็ให้เข้าไปนั่งรอในร้านค้า แล้วให้พวกเราเดินลอดใต้อุโมงค์ขึ้นไปยังยอดเขา เพื่อถ่ายทิวทัศน์ที่เหมือนกับภาพวาดก็ไม่ปาน แต่ว่าเมื่อพวกเราถามว่า "แล้วปูเป้จะขึ้นไปด้วยหรือไม่ ?" อีกฝ่ายที่ทำท่าไม่อยากขึ้นที่สูง ก็กัดฟันบอกว่า "ไปด้วยค่ะ"

    พวกเราเดินขึ้นสูงไปตามอุโมงค์ จนกระทั่งคนอื่น ๆ ไปอยู่ข้างหลังกันหมด ปล่อยให้กระผม/อาตมภาพซึ่งแก่ที่สุดในคณะ เดินนำหน้าขึ้นไปจนถึงยอดเขาด้านบน ถึงได้รู้ว่าเราเดินลอดมาภายในลำตัวของมังกร เพราะว่าพอโผล่ออกมาก็เจอกรงเล็บพ่อเจ้าประคุณกางหราอยู่เลย..!

    กระผม/อาตมภาพรอจนกระทั่งนิ้วชาไปหมด กว่าที่น้องปูเป้จะตามมาถึง ขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยถ่ายรูปให้ด้วย ขณะที่พวกเราค่อย ๆ โผล่มาทีละคนสองคน กว่าที่จะรวบรวมเป็นคณะเพื่อถ่ายรูปหมู่ได้ ก็สงสารน้องปูเป้ที่นิ้วแข็งเกือบจะเป็นไอศกรีมแท่งอยู่แล้ว..!

    ครั้นได้รูปหมู่แล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินย้อนลงไปด้านล่าง เพื่อที่จะไปนั่งรออยู่ในร้านค้า โดยมีลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ที่ส่งลูกทัวร์ขึ้นยอดเขาแล้ว ก็ตามมารออยู่ในนี้ ไปเอาน้ำร้อนจากในร้านมาถวายให้ ๑ ถ้วย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความร้อนความหนาว แต่อยู่ที่แว่นตา ซึ่งพอเข้าในที่ร่มเมื่อไร ก็กลายเป็นฝ้าจนมองอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถที่จะส่งงานหรือว่าทำสิ่งอื่น ๆ ได้เลย..!

    หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว น้องปูเป้ที่ตามลงมาบอกว่า "ถ้าหลวงพ่อจะขี่อูฐลงไป ปูเป้จะไปดำเนินการให้ค่ะ" กระผม/อาตมภาพจึงตัดสินใจว่าขอลงทางอูฐเถอะ เนื่องเพราะว่าตอนขึ้นมานั้นไม่ได้เห็นอะไรเลย นอกจากหลังคนขี่สโนว์โมบิล และใช้ระยะเวลาที่รวดเร็วจนเกินไป ถ่ายรูปอะไรไม่ได้เลย

    น้องปูเป้จึงไปสแกนคิวอาร์โค้ด จ่ายค่าขี่อูฐ ๑๕๐ หยวนให้กระผม/อาตมภาพ แล้วก็มีคนอื่นขอตามมาอีกหลายคน แต่ว่าอูฐนั้นเขาออกทีละชุด ๆ ละ ๔ ตัว ใครที่ตัดสินใจช้าก็ต้องรออยู่ด้านหลัง เมื่อลงมาด้วยอูฐทำให้รู้สึกว่าทิวทัศน์บนนี้เหมือนภาพวาดอย่างแท้จริง เนื่องเพราะว่าต้นไม้ทุกต้นแบกหิมะเอาไว้เต็มไปหมด และมีความสงบเงียบของป่า เหมือนอย่างกับบรรยากาศในหนังเรื่อง Frozen ก็ไม่ปาน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,111
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,592
    ค่าพลัง:
    +26,439
    กระผม/อาตมภาพถ่ายรูปด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจ ถ้ารู้สึกว่านิ้วแข็งจนไม่สามารถที่จะกดชัตเตอร์ไหว ก็ยัดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ต กำผงเคมีอุ่นมือ เมื่อรู้สึกว่าขยับได้แล้วก็ถ่ายรูปต่อไป จนกระทั่งลงมาถึงจุดจอดรถครั้งแรก ก็ลงมาจากหลังอูฐโดยสวัสดิภาพ ทุกคนที่ลงมาต่างก็บอกว่า "รู้อย่างนี้ขี่อูฐขึ้นไปด้วยก็ดี" แต่ว่าก็ได้บรรยากาศทั้งสองอย่างร่วมกัน

    เรามารอนั่งรถตีนตะขาบโดนเขย่าจนตับทรุดกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าเขามาจอดอยู่หน้าแผงปิ้งย่าง ซึ่งมีเนื้อแพะที่เขาเรียกว่า "หยางโร่ว" ปิ้งอยู่ ทางด้านข้างก็ยังมีถังหูลู่ ก็คือผลไม้เคลือบน้ำตาลเอาไว้ด้วย แต่กระผม/อาตมภาพไม่มีอารมณ์ จึงเดินลงไปยังจุดนัดพบทางด้านล่าง เข้าไปอยู่ข้างใน นั่งรอกว่าที่แว่นตาจะหายฝ้าก็เป็นเวลานาน

    จนกระทั่งลูกกิฟท์ตามมาถึง บอกว่าด้านข้างมีร้านค้าที่ขายตัวตุ๊กตุ่น เป็นมาสค็อตของ Asian Winter Games ๒๐๒๕ กระผม/อาตมภาพจึงเข้าไปซื้อ ๒ ชุด เพื่อฝากลูกปุ๊ก (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) ลูกสาวคนโต ซึ่งกระผม/อาตมภาพแบกชีวิตของคุณเธอเอาไว้ตั้งแต่อายุ ๑๗ จนตอนนี้ ๖๐ ปีแล้ว และลูกอ้วน (นางสาวภัทรวรรณ จะหวะ) ลูกสาวมูเซอที่แม่เอามาฝากเรียนหนังสือจนจบปริญญาโท แต่ไม่สามารถที่จะทำการทำงานอะไรทางบ้านได้ เพราะว่าจบมาสูงเกินไป ทั้งตำบลมีจบปริญญาโทอยู่คนเดียว..! จนกระผม/อาตมภาพต้องฝากให้ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลทองผาภูมิ จึงกลายเป็น "หัวเดียวกระเทียมลีบ" ที่ต้องคอยดูแลอยู่เสมอ

    รอจนกระทั่งทุกคนลงมาแล้ว พวกเราก็ไปขึ้นรถยนต์ เพื่อเดินทางต่อไปยัง "หมู่บ้านหิมะ" หรือ "สโนว์ทาวน์" ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑๐ นาทีเท่านั้น รถยนต์ก็มาจอดที่บริเวณลานจอดรถ พวกเราต้องจัดแถวตามรายชื่อที่ส่งมาให้เขาล่วงหน้า แล้วก็หิ้วข้าวของจำเป็นเฉพาะของตนเอง เดินผ่านเข้าไปภายในตัวอาคาร ให้เขาสแกนใบหน้าทีละคน เมื่อโผล่ออกไปทางด้านหลัง ก็มีรถโดยสารที่ทางหมู่บ้านจัดเอาไว้มารอรับพวกเรา วิ่งผ่านป่าคดเคี้ยวเข้าไปทางด้านใน เหมือนอย่างกับในบรรยากาศภาพยนตร์เรื่องราชินีน้ำแข็งอย่างไรก็อย่างนั้น

    จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าหมู่บ้าน เขาก็จอดให้พวกเราลง แต่ละคนหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังเข้าไป ถ่ายรูปกับป้ายหน้าหมู่บ้านแล้ว ลูกกิฟท์ก็ได้นำพวกเราตรงไปยังโรงแรมที่พัก ทั้ง ๆ ที่ตลอดทางซึ่งเดินผ่านนั้นสวยงามมาก เพราะว่าบ้านแต่ละหลังหิมะหนาเป็นฟุต ๆ ดูแล้วเหมือนกับบ้านในการ์ตูน หรือบ้านในฝันอย่างไรอย่างนั้น แต่พวกเราหิวข้าวจนไร้แรงบินแล้ว เมื่อสามารถที่จะตรงเข้าไปยังที่พักได้เลย ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนยินดีเป็นอย่างยิ่ง..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,111
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,592
    ค่าพลัง:
    +26,439
    ครั้นมาถึงโรงแรมซึ่งได้จองเอาไว้ แทนที่จะเบิกห้องก็แค่แจ้งเจ้าหน้าที่เขาว่ามาถึงแล้ว จากนั้นก็เอากระเป๋ากองรวมกันเอาไว้ก่อน ตรงไปยังห้องอาหารของทางโรงแรม ซึ่งทางด้านนี้จัดโต๊ะเอาไว้ให้กับพวกเรา ๓ โต๊ะ เป็นโต๊ะของญาติโยม ๒ โต๊ะ และโต๊ะพระอีก ๑ โต๊ะ วันนี้แปลกมากว่านอกจากสารพัดผักที่หายากแล้ว ยังอุตส่าห์มีปลานึ่งซีอิ๊วมาด้วย โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าปลาอะไร แต่ว่าบรรยากาศที่ -๒๐ กว่าองศาเซลเซียสแบบนี้ กระผม/อาตมภาพฟันธงว่าเป็น "ปลาหิมะ" อย่างแน่นอน..!

    ครั้นอิ่มแล้ว พวกเราก็มารับกุญแจ เข้าสู่ห้องพักของใครของมัน นัดหมายกันไว้ว่าเวลาบ่าย ๓ โมงให้ลงมาพบกันที่ล็อบบี้ เพื่อจะออกไปยัง "บ้านดรีมโฮม" ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ โรงแรมที่พักนี่เอง กระผม/อาตมภาพขึ้นสู่ที่พักแล้ว ก็จัดการอาบน้ำอาบท่าจนกระทั่งเรียบร้อย แล้วมาทยอยส่งงานเข้ากลุ่มไลน์ เพื่อให้ "ไอ้ตัวเล็ก" ได้นำไปลงให้ญาติโยมทั้งหลายที่ติดตามดู แม้ว่าจะไม่ใช่สด ๆ แบบเรียลไทม์ แต่ก็ไม่ใช่แห้งแล้งจนกระทั่งเกินวันไป

    กว่าที่จะเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็มาแต่งตัวเพื่อรอลงไปข้างล่าง เนื่องจากว่าใกล้เวลาแล้ว การที่ต้องใส่กางเกง ๒ ชั้นและก้มลงไปใส่รองเท้า ทำให้สาบานได้ว่าชีวิตนี้ไม่อยากจะอ้วนอีกแล้ว..! เพราะว่ากางเกง ๒ ตัวที่ซ้อนกันค้ำพุงจนกระทั่งก้มไม่ลง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไม่มีพุงกับใคร เมื่อลงมาข้างล่างได้ครู่ใหญ่ สิ่งที่ชอบใจที่สุดก็คือมีเครื่องเติมน้ำร้อน ซึ่งคนจีนมีให้ในทุกที่ สามารถที่จะเติมน้ำสักเท่าไรก็ได้

    เมื่อพวกเรามากันครบครันแล้ว ทางบริษัทเติมเต็มทราเวลก็นำพวกเราเดินออกไป จนกระทั่งถึงทางด้านนอก แล้วนัดแนะกันว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะมีการแจกตั๋วเข้าชมดรีมโฮม และแจกตั๋วสำหรับรับประทานอาหารเช้าพรุ่งนี้ กระผม/อาตมภาพเห็นว่าเขามีหมาลากเลื่อนอยู่หลายเจ้าด้วยกันที่มารอลูกค้าอยู่ เจ้าหมาลากเลื่อนตัวหนึ่งส่งสายตาปิ๊ง ๆ มา ประมาณว่า "ลูกพี่จำผมได้หรือไม่ ?" เมื่อเข้าไปถึง เจ้านั่นก็เอาสองขาตะกุยเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องการที่จะอุ่นขาหรือว่าทักทายกันแน่ ? แต่ก็ขอบใจมากที่เอ็งยังอุตส่าห์จำข้าได้..!

    ทักทายกันเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็พากันเข้าไปชม "พิพิธภัณฑ์สโนว์ทาวน์" เข้าไปถึงแล้วเห็นว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แสงสีเสียงประเภทเดียวกับพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน แต่เมื่อเปรียบกับที่นี่แล้ว ห่างกันเหมือนฟ้ากับเหว ก็คือพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนนั้นอยู่ก้นเหวยังไม่พอ พิพิธภัณฑ์สโนว์ทาวน์แห่งนี้ยังอยู่บนฟ้าอีกต่างหาก ระยะห่างจึงห่างกันอย่างชนิดเราไม่สามารถที่จะเทียบกันได้เลย ออกมาแล้วยังบ่นว่า ทำอย่างไรของเราจะได้ทันสมัยและสวยงามเป็นระบบเหมือนกับของเขาก็ไม่รู้ ?
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,111
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,592
    ค่าพลัง:
    +26,439
    เมื่อได้เวลาพวกเราก็ตรงไปยังหมู่บ้านสโนว์ทาวน์ ซึ่งแยกเอาไว้ต่างหากส่วนหนึ่ง เรียกว่า "บ้านในฝัน" หรือว่า "Dream Home" ครั้นเข้าไปแล้วก็เห็นว่าบรรยากาศสวยงามเหมือนอย่างกับรูปวาด แต่ที่เราต้องเข้ามาก่อน ก็เพราะว่าต้องการดูแสงสีในภาคค่ำด้วย ตอนนี้เชิญหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย ซ้ำยังมีเสียงภาษาไทยโฆษณาชวนถ่ายรูปอีกต่างหาก..!

    บางท่านก็เอา "หมาจิ้งจอกหิมะ" มาเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้อุ้มถ่ายรูป บางสถานที่ก็มีสัตว์บางประเภทที่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร กระผม/อาตมภาพเดาว่าน่าจะเป็นกวางประเภทหนึ่ง แต่ด้วยเหตุที่ว่าโดนตัดเขาอ่อนไปแล้ว เขาใหม่ยังไม่ทันที่จะขึ้น เจ้าพวกนี้ก็เลยทำหน้าเศร้า ๆ ประมาณว่าชีวิตนี้จะมีเขาใหม่กับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะว่าถ้าของใหม่ขึ้นมาก็น่าจะโดนตัดไปอีกเช่นกัน..!

    ต่างคนต่างแยกย้ายกันถ่ายรูปตามอัธยาศัย กระผม/อาตมภาพเดินเข้าไปจนถึงด้านใน ซึ่งเป็นบันไดสูงชันมาก ขึ้นไปแล้วจึงเห็นว่าเป็นร้านขายกาแฟ แต่ว่ามีเครื่องดื่มสารพัดชนิดเช่นกัน ครั้นถ่ายรูปมุมสูงเสร็จแล้ว ลงมาเจอคณะของน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) กับป้ามอย (นางสาวมณีวรรณ สัมฤทธิ์) จึงชวนกันขึ้นไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง มีคนไทยหลายคนที่อยู่คนละคณะตามมา ถามว่าข้างบนเป็นร้านอะไร ? ครั้นบอกไปแล้วเขาก็ขอบคุณเป็นอันขาด แต่ไม่ขอตามขึ้นไปด้วย เพราะว่าขึ้นบันไดไม่ไหว..! พวกเราหลายต่อหลายคนขึ้นไปนั่งเอาความอบอุ่นภายในร้าน สั่งน้ำชาบ้าง กาแฟบ้าง นมร้อนบ้าง มานั่งกินกันรอเวลา

    จนกระทั่ง ๔ โมงเย็นของประเทศจีนฟ้าก็เริ่มมืด มีการเปิดไฟต่าง ๆ จนกระทั่งสว่างไสวงดงาม พวกเราก็ออกมาหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย ครั้นถ่ายรูปจนพอใจและรู้สึกว่าหนาวจนมือไม้ชาหมดแล้ว กระผม/อาตมภาพก็แจ้งทุกคนว่าขอกลับไปยังที่พักก่อน ซึ่งเมื่อเดินออกมาผ่านกรงแล้วก็เป็นอันว่าหมดสิทธิ์ เพราะว่าประตูกรงนั้นหมุนเปิดออกได้อย่างเดียว ไม่สามารถที่จะเดินย้อนกลับไปได้ ถ้าใครต้องการจะดูอีก ก็ต้องไปซื้อตั๋วใหม่..!

    เดินออกมาข้างนอก ก็เห็นมีทั้งหมาลากเลื่อน คนลากเลื่อน ตลอดจนกระทั่งสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่ภาษาสเปนเรียกว่า "ญาม่า" ซึ่งใช้ตัวสะกด LLAMA แต่ว่าอ่านว่า "ญาม่า" หรือบางคนเรียกว่า "อัลปาก้า" เขาก็เอามาให้คนได้ถ่ายรูป มีทั้งประเภทสีน้ำตาลและสีขาวเหมือนตัวการ์ตูน

    กระผม/อาตมภาพเดินถ่ายรูปย้อนกลับไปจนกระทั่งถึงโรงแรมที่พัก เดินเข้าไปได้รู้สึกว่าตัวเองละลายเลย..! เนื่องเพราะว่าที่ผ่านมานั้นหนาวเสียจนกระทั่งมือไม้แข็งไปหมด กลับเข้าห้องพักได้ก็จัดแจงถอดชุดทั้งหมดที่มีออก เหลือเพียงฮีทเทคด้านในอยู่ชุดเดียวเท่านั้น เข้าห้องน้ำห้องท่าเรียบร้อยแล้วก็ฉันยาแก้ไข้ จากนั้นก็นอนสลบไสลไปเลย..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...