เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 สิงหาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2588.jpeg
      IMG_2588.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      285.6 KB
      เปิดดู:
      55
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ทางคุณครูนำเอาเด็กนักเรียนหอพักโรงเรียนทองผาภูมิวิทยามาร่วมสวดมนต์ทำวัตรด้วย เด็กนักเรียนหอพักของเรา ส่วนใหญ่แล้วก็คือบ้านไกล เดินทางลำบาก จึงต้องอาศัยหอพักของทางโรงเรียนซึ่งไม่ได้สะดวกมากนัก แม้กระทั่งที่หลวงพ่อสร้างให้ก็ต้องพยายามลดวัสดุลงให้มากที่สุด เพื่อให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนดเอาไว้ แต่พวกเราก็ยอมทนลำบากกัน ต้องถือว่ากำลังใจอยู่ในระดับที่ใช้ได้

    รุ่นของพวกเราต้องถือว่าสะดวกมากแล้ว ตัวหลวงพ่อเองเรียนหนังสือต้องขี่จักรยานไป ขาไป ๖ กิโลเมตร ขากลับ ๖ กิโลเมตร เท่ากับว่าปั่นจักรยานวันละ ๑๒ กิโลเมตร แต่ก็ตั้งใจไปเรียน แล้วด้วยความที่พ่อแม่มีนโยบายว่าลูกทุกคนต้องรู้หนังสือ เพราะว่าพ่อแม่ลำบากมากที่ไม่รู้หนังสือ จึงพยายามส่งลูกเรียน แต่ก็มีลูกถึง ๑๓ คน แม้ว่าจะตายไป ๑ คนตั้งแต่เด็กก็ตาม ก็ยังเหลืออยู่ถึง ๑๒ คน การเรียนจึงไม่ได้เต็มที่

    รุ่นพี่ ๆ ที่เกิดก่อนก็มักจะเรียนได้แค่ชั้นประถมปีที่ ๔ รุ่นถัดมาเรียนได้ถึงชั้นประถมปีที่ ๗ มีรุ่นหลวงพ่อกับพี่สาวที่เรียนได้ถึงชั้นมัธยมปีที่ ๓ ซึ่งสมัยนั้นก็คือ ม.ศ. ๓ ตอนนั้น ค่าเทอมชั้นมัธยมปีละ ๒๒๐ บาท ต้องพยายามทำงานเก็บเงิน กว่าจะมีค่าเทอมไปจ่ายก็มักจะวันท้าย ๆ ของเส้นตายแล้ว..!

    แต่ว่าสิ่งที่หลวงพ่อทำเป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง และเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ ก็คือสามารถสอบได้ที่ ๑ ตลอด แล้วเป็นที่ ๑ ที่คะแนนเต็ม ๑๐๐ ด้วย สมัยก่อนเล่าให้คนอื่นฟังไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งมาเรียนในระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรี ปริญญาโท ยันปริญญาเอก เพื่อนฝูงเขาถึงได้เห็นว่าการทำคะแนนเต็ม ๑๐๐ ในแต่ละวิชาของหลวงพ่อนั้น เป็นเรื่องปกติง่าย ๆ เลย..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าโดนโยมพ่อพาสวดมนต์ไหว้พระตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะรู้ภาษาอายุประมาณ ๒ ขวบครึ่ง ก็โดนอุ้มหลับคอพับคออ่อนสวดมนต์ทุกวัน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นการทำสมาธิให้เกิด ในเมื่อสะสมไปหลาย ๆ ปี ในสมัยนั้นการเรียนชั้น ป. ๑ ก็คืออายุ ๗ ขวบหรือว่า ๘ ขวบ ก็แปลว่ามีเวลาสะสมสมาธิอยู่หลายปี เมื่อเข้าไปเรียนถึงได้รู้ว่า
    เรื่องของสมาธิช่วยการเรียนได้ดีที่สุด แค่นั้นยังไม่พอ ยังช่วยเราหักห้ามตัวเองไม่ให้ทำความชั่วได้อีกด้วย..!

    เนื่องเพราะว่าโยมพ่อเป็นคนจีนต่างด้าว คือมาจากประเทศจีนเลย ในเมื่อเป็นคนต่างด้าวก็เกรงกลัวกฎหมายไทย เพราะว่าถ้าโดนส่งกลับก็หมดอนาคต จึงได้สั่งลูกเอาไว้ว่า "อย่ามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร" ดังนั้น..แม้บางวันอยากจะฟาดปากเพื่อนฝูงขนาดไหน ก็ต้องอดกลั้นอดทนเอาไว้ เพราะถ้าทำไปแล้วเกิดปัญหา พ่อที่เป็นคนต่างด้าว อาจจะโดนลงโทษส่งกลับเมืองจีน
    จึงต้องอาศัยกำลังสมาธิในการอดทนอดกลั้นเป็นอย่างมาก..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    ที่กล่าวมานี้เพื่อที่จะบอกกับเด็ก ๆ ทั้งหลายว่า การเดินทางไกลไม่ใช่อุปสรรคของการเรียน ฐานะยากจนไม่ใช่อุปสรรคของการเรียน สำคัญที่ว่าเราตั้งใจเรียนเต็มที่หรือไม่ ? ต่อให้เราเองหัวไม่ดีเหมือนอย่างกับเพื่อนฝูงเขา แต่ถ้าเรามีความขยันเข้าไปเสริม ก็จะทดแทนตรงจุดนั้นได้

    โดยเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ วิชาชีพต่าง ๆ ที่เคยช่วยเราได้ในปัจจุบัน แทบจะหมดความสำคัญไปแล้ว แม้กระทั่งสมัยก่อนพอจบชั้น ม.ศ. ๕ ซึ่งเทียบเท่าชั้น ม.๖ สมัยนี้ ถ้าหากว่าไม่เอ็นทรานซ์เข้าเรียนหมอ ก็จะเอ็นทรานซ์เพื่อเรียนวิศวะ ปัจจุบันนี้ AI เก่งกว่าหมอทั่วไป หมอทั่วไปใช้เวลาในการตรวจคนไข้คนหนึ่งประมาณ ๑๒ นาที วินิจฉัยโรคได้ไม่เกิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ AI ใช้เวลาแค่ประมาณ ๒ - ๓ นาที วินิจฉัยโรคได้เกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์..! ก็แปลว่าในโลกยุคไม่นานหลังจากนี้ แม้แต่หมอก็จะขาดความสำคัญลง

    อาชีพต่าง ๆ หลายต่อหลายอาชีพ อย่างเช่นว่าการเปิดร้านขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ การเปิดบังกะโล หรือว่ารีสอร์ต จะหมดความสำคัญลงไป เนื่องเพราะว่าเราลงทุนลงแรงไปมาก แต่ว่ามีบุคคลที่อาศัยข้อมูลเปิดการจองที่พักทั่วโลก รวมทั้งที่เราทำเองด้วย โดยที่เขากินค่านายหน้าฟรี ๆ การขายของต่าง ๆ ก็กลายเป็นการขายของออนไลน์ แม้กระทั่งธนาคารก็จะลดความสำคัญลง

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเรายิ่งต้องใช้ความเพียรพยายามมากกว่าคนรุ่นเก่า โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ภาวะสงครามลุกลามไปทั่ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทำอย่างไรให้มีกิน..! พวกเราอาจจะไม่เคยอดอยากมาก่อน หลายคนมีพ่อแม่ที่ข้ามมาจากฝั่งพม่า คนในประเทศพม่ากินอาหารแค่ ๒ มื้อ ก็คือมื้อสาย ๆ กับมื้อเย็น ๆ เพราะว่าไม่มีข้าวของเงินทองอะไรมากมาย ที่จะกินล้างกินผลาญเหมือนกับบ้านเรา คราวนี้พอภาวะสงครามเกิดขึ้น สิ่งต่าง ๆ ก็หายาก ข้าวของก็ขึ้นราคา โดยเฉพาะของกิน

    สมัยที่หลวงพ่อเป็นทหารประจำอยู่ชายแดนไทยเขมร บรรดาผู้อพยพที่หนีข้ามมา ถึงเวลามีเงินมีทองซุกติดตัวมา ส่วนใหญ่เงินจะใช้ไม่ได้ ที่ใช้ได้ก็ทองคำ คราวนี้ทองคำนั้นก้อนหนึ่ง ๒ บาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ๕ บาทบ้าง จะใช้อะไรก็ต้องจ่ายเป็นก้อนไปเลย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    แต่ก็ยังดีกว่าสมัยที่ประเทศเขมรแตกใหม่ ๆ ผู้คนอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาฝั่งไทย รุ่นพี่ที่ไปอยู่ประจำการก่อนเขาเล่าให้ฟังว่า "พลอยดิบ ๑ กระป๋องนม แลกข้าวสารได้ ๑ กระป๋องนม" ก็คือจะไปคิดเป็นราคาพลอยดิบเหมือนอย่างเวลาปกติไม่ได้ ต่อให้เรามีติดตัวมาแล้วคิดเป็นมูลค่าเท่าไรก็ตาม ถึงเวลานั้นของกินสำคัญที่สุด จึงต้องเอามาแลกของกินก่อน

    แม้กระทั่งปัจจุบันนี้บรรดาพี่น้องมอญ พม่า กะเหรี่ยง ที่หนีภัยสงครามมาอยู่ตามตะเข็บชายแดน ก็ต้องอาศัยคนไทยช่วยเหลือ เมื่ออาทิตย์ก่อนทางด้านกลุ่มเยาวชนมอญกรุงเทพฯ ก็มาขอเสบียงจากวัดท่าขนุน เพื่อเอาไปมอบให้กับญาติพี่น้องของตนเองที่หนีภัยสงครามมาที่บ้านฮะร็อกคานี

    ยิ่งสภาวะของประเทศชาติหรือว่าของโลกยากลำบากเท่าไร สิ่งที่เราต้องเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอดยิ่งมากเท่านั้น บางทีคนเรียนเก่งแต่ว่าปรับตัวไม่เป็นก็เอาตัวไม่รอด คนเรียนไม่เก่ง แต่รู้ว่าอะไรในป่ากินได้ จะเอาตัวรอดได้ง่ายกว่า

    จึงเป็นเรื่องที่อยากจะฝากเด็ก ๆ ทั้งหลายเป็นข้อคิดว่า รุ่นเราแค่เรียนอย่าคิดว่าลำบาก รุ่นพ่อรุ่นแม่ต้องเสี่ยงทั้งชีวิต เสี่ยงทั้งกฎหมาย ดิ้นรนเพื่อให้อยู่ประเทศไทยได้ พวกเราแค่มีหน้าที่เรียนอย่าเพิ่งไปท้อ พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ไม่ใช่สักแต่ว่าเรียนให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ

    เรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องบอกต่อคนอื่นได้ รู้แล้วต้องนำไปใช้งานจริงได้ด้วย ถึงจะเรียกว่าเรียนแล้วประสบความสำเร็จ ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาลำบากขึ้นมา เราไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย ก็จะตกอยู่ในสภาพที่เอาตัวไม่รอดอย่างน่าเวทนาสงสาร..!


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...