เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 เมษายน 2025 at 21:18.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0431.jpeg
      IMG_0431.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      280.7 KB
      เปิดดู:
      8
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ พสกนิกรชาวไทยยังคงชื่นชมกับการเสด็จเยือนประเทศภูฏานอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี แต่ต่างชาติเขาแตกตื่นกันหมด..! ที่ทั้งสองพระองค์ทรงเครื่องบินพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง แล้วลงสนามบินพาโร ที่ได้ชื่อว่าเป็นสนามบินอันตรายที่สุดในโลก..!

    เนื่องเพราะว่ามาตรฐานสนามบินนั้นอย่างน้อยความยาวรันเวย์ต้องมีถึง ๒,๘๐๐ เมตร สนามบินพาโร
    นอกจากความยาวรันเวย์ไม่ถึงแล้ว ยังล้อมรอบด้วยภูเขาแทบทุกด้าน แค่สนามบินตรีภูวันของเนปาล เครื่องบินไทยยังเคยไปชนภูเขา ระเบิดตายยกลำมาแล้ว..!

    แต่ด้วยความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีประสบการณ์ขับเครื่องบินมาแล้วทุกประเภท แม้กระทั่งเครื่องบินโดยสาร ก็ขับนำพาคณะไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียด้วยพระองค์เองมาแล้ว ดังนั้น..การลงสนามบินที่พาโร ซึ่งไม่มีหอเรดาร์ในการช่วยนำทาง ในสายตาคนอื่นที่เห็นว่าอันตรายสุด ๆ สำหรับพระองค์ท่านแล้วกลับเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย

    ความสัมพันธ์ของประเทศภูฏานกับไทยนั้น ต้องบอกว่าเป็นไปอย่างดียิ่ง อันดับแรกเลยก็คือ มีระบอบกษัตริย์เหมือนกัน อันดับที่ ๒ ก็คือ นับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน และอันดับที่ ๓ ก็คือ กษัตริย์ภูฏานนำเอาหลักเกษตรทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราไปใช้ เมื่อทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเยือนภูฏานอย่างเป็นทางการ แล้วพระองค์ท่านเสด็จไป ก็ถือว่าเป็นการเยือนต่างประเทศ เป็นประเทศแรกในสมัยรัชกาลที่ ๑๐ เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ที่สุดยอดมาก

    วันนี้ส่วนหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึง ต้องขอเจริญพรอนุโมทนาคุณสิริกุล อาจมังกร ไม่ทราบเหมือนกันว่าจำชื่อนามสกุลผิดหรือเปล่า ? ซึ่งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โอนเงินมาร่วมบุญกับทางวัดท่าขนุน ๓ แสนบาทไทย ส่วนเงินจำนวน ๑ ล้านบาทที่กระผม/อาตมภาพเคยหาเจ้าของไม่ได้นั้น ความจริงก็คือเงินที่ทางผู้รับเหมาก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน รับปากเอาไว้ตอนเซ็นสัญญาว่า จะร่วมบุญกับทางวัดท่าขนุน ๑ ล้านบาท ก็แปลว่าจากยอด ๑๕๕ ล้านบาท เราก็จ่ายแค่ ๑๕๔ ล้านบาท..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    บางอย่างบางทีญาติโยมก็ทำแบบที่ไม่บอกไม่กล่าว ทำให้พระของเราต้องเดือดร้อน เนื่องจากว่าพระมีราคาแค่ ๙๙ สตางค์ เรื่องของบัญชีเงินทองต่าง ๆ จึงต้องระมัดระวังตัวสุดขีด พลาดเมื่อไรจะไม่เหลือความเป็นพระเอาไว้ คราวนี้ ๙๙ สตางค์มาเจอ ๑ ล้านบาทเข้า ก็เป็นอันว่า "พูดไม่ออกบอกไม่ถูก" กว่าที่จะหาเจ้าของเจอก็ทำเอากังวลจนแทบจะนอนไม่หลับ..!

    อีกส่วนหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ ญาติโยมบางท่านชอบ "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด" ทำอะไรอยู่ในลักษณะเมตตาต่อพระ แต่โง่ไปหน่อย..! อย่างกระผม/อาตมภาพบอกว่า พกรูปหล่อท้าวเวสสุวรรณไปต่างประเทศ ก็คือรูปหล่อเล็ก ๆ ประมาณข้อนิ้วก้อยเท่านั้น ที่ปรารภว่าความจริงอยากได้รูปหล่อท้าวธตรฐมากกว่า เพราะสนิทสนมกับเป็นการส่วนตัว ญาติโยมก็เมตตามาก ส่งรูปหล่อท้าวธตรฐสูง ๒ ฟุตมาให้..! แล้วมึงจะให้กูเลี่ยมขึ้นคอไปต่างประเทศอย่างไร ? บุคคลบางประเภท "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด" ยังไม่พอ ยังไม่มีความเป็นวัวปนอยู่บ้างเลย..! จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นอยู่กับพระอยู่เสมอ

    เรื่องพวกนี้ถ้าท่านทั้งหลายยังเจริญอายุกาลพรรษาไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอมากขึ้นไปเรื่อย แล้วก็อย่างที่กระผม/อาตมภาพต้องมานั่งถอนใจ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม เพราะว่ายากสอนยากกันได้ขนาดนั้นจริง ๆ ถ้าถึงขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกพระโอษฐ์มา ก็แปลว่าเป็นของที่เที่ยงแท้แน่นอนไปแล้วว่า ร้อยละ ๙๐ ต้องเป็นอย่างนั้น..!

    สำหรับวันนี้มาใช้เวลาที่เหลือเล็กน้อยมา "เล่าความหลัง" กันต่อไป ในสมัยนั้น การคมนาคมส่วนใหญ่นิยมทางเรือ แต่ด้วยความที่บ้านของโยมพ่อนั้นห่างจากแม่น้ำลำคลองมาก จึงต้องอาศัยรถเป็นหลัก แล้วรถตอนแรกก็เป็นรถเมล์โครงไม้ หัวโต ๆ ที่จะต้องใช้เครื่องมือไปหมุนตรงหัวเครื่อง เพื่อที่จะให้จุดติด ความเร็วก็น่าจะไม่เกิน ๓๐ - ๔๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าใครวิ่งเร็ว ๆ ก็แซงรถได้เลย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    ถนนหนทางก็ไม่ใช่ถนนมาลัยแมน ซึ่งตัดจากอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ผ่านอำเภอกำแพงแสน ออกไปทางด้านอำเภออู่ทองของจังหวัดสุพรรณบุรี หากแต่ว่าเป็นถนนที่วิ่งตรงไปยังจังหวัดราชบุรี คืออำเภอบ้านโป่งเสียก่อน แล้วค่อยวกอ้อมมาอำเภอท่ามะกาของจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นก็ผ่านอำเภอพนมทวนไปออกอำเภออู่ทอง ถ้าเปรียบกับอายุของกระผม/อาตมภาพเอง ถนนสายมาลัยแมนจึงเป็นถนนที่ตัดได้ไม่นาน พูดง่าย ๆ ว่าแทบจะโตมากับถนนเลย และสามารถลัดเส้นทางได้มากเป็นพิเศษ เพราะว่าไม่ต้องอ้อมไปเข้าจังหวัดราชบุรีและจังหวัดกาญจนบุรีก่อน

    เมื่อความเจริญเริ่มเข้ามา รถต่าง ๆ ก็มากขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถบรรทุก ๖ ล้อบ้าง ๑๐ ล้อบ้าง เขาถือว่าเป็นรถใช้งาน บรรดารถบรรทุกเล็กนั้นต้องบอกว่าเกิดช้ามาก รุ่นแรกที่เกิดขึ้นเลยก็คือรถดัทสัน (DATSAN) ไม่เคยได้ยินล่ะสิ..! เครื่อง ๑,๒๐๐ ซีซี หลังจากที่รถดัทสันพัฒนาตัวเองมา ๒ - ๓ รุ่น ก็มีรถมาสดา (MAZDA) เครื่อง ๑,๓๐๐ ซีซีขึ้นมา หลังจากนั้นแล้ว กระบะยี่ห้ออื่น ๆ ถึงได้ตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นไดฮัตสุ (DAIHATSU) ไม่ใช่รถกระป๋องเล็ก ๆ แบบปัจจุบัน แต่ว่าเป็นรถกระบะขนาด ๑ ตันเหมือนกัน แล้วรถโตโยตา (TOYOTA) รถอีซูซุ
    (ISUZU) ก็ออกไล่กันมา

    ส่วนทางด้านรถยนต์ส่วนบุคคลนั้น ไปนิยมรถอเมริกันคันเท่าบ้านเท่าตึก อย่างยี่ห้อดอตจ์ (DODGE) บ้าง โฮลเดน คิงส์วูด (HOLDEN KINGSWOOD) บ้าง โอลสโมบิล คัสลาส (OLDMOBILE CATLASS) บ้าง หรือไม่ก็แวเรียนท์ รีกัล (CHRYSLER VALIANT REGAL) แต่ละคันเฉพาะบังโคลนหน้ายาวประมาณ ๒ เมตร..! คือสมัยก่อนเขาจะใช้ตัวถังด้านหน้ารวมทั้งเครื่องยนต์ด้วย เป็นเครื่องป้องกันอันตรายที่จะมาถึงตัวคนขับรถ ดังนั้น..แต่ละคันจึงเป็นรถที่ยาวและใหญ่มาก จะมีที่เล็กหน่อย อย่างพวกดอตจ์ (DODGE) หรือว่ามอริส (MORRIS) ก็ไม่เคยได้ยินอีก""+

    รถยนต์สมัยนั้นแข็งแรงมาก ขนาดเด็ก ๆ อายุ ๘ ขวบ ๑๐ ขวบ ขึ้นไปกระโดดโลดเต้นบนฝากระโปรงรถเก๋งแล้วไม่มีรอยบุบ..! ถ้าเอามาชนกับรถสมัยนี้ก็รับประกันได้ว่าไม่มีอะไรบุบสลาย แต่ว่ารถสมัยใหม่พังกระจายแน่นอน..! อย่างที่ได้บอกกล่าวไปในครั้งก่อน ๆ ว่า สมัยก่อนเขาสร้างรถขึ้นมา หรือว่าสร้างสินค้าขึ้นมา เพราะว่าต้องการชื่อเสียง ทุกอย่างจึงต้องคุณภาพสุดยอดเอาไว้ก่อน ใช้กันไปชั่วลูกชั่วหลาน..ประมาณนั้น..!

    อีกส่วนหนึ่งเป็นพวกนิยมไพร หรือชอบการผจญภัย ก็จะใช้รถจี๊ปหน้ากบซึ่งเป็นรถสงคราม แล้วก็รถแลนด์โรเวอร์ ซึ่งเป็นรถที่สร้างได้ดีมาก ๆ เพราะว่าตัวถังเป็นอลูมิเนียม ไม่ผุ ดังนั้น..ถ้าใครมีรถแลนด์โรเวอร์รุ่นเก่า ๆ ให้สังเกตไว้ด้วยว่าทำไมรถของเราไม่ผุเสียที ? เพราะว่าตัวถังไม่ใช่เหล็ก แต่เป็นอลูมิเนียม พวกขานิยมไพรก็จะชอบใช้รถจี๊ปหน้ากบ หรือว่ารถแลนด์โรเวอร์ในการบุกป่าล่าสัตว์ ซึ่งในยุคนั้นสมัยนั้นก็แทบจะไม่มีกฎหมายอะไรมาห้ามเลย เพราะว่าสัตว์ป่ายังชุกชุมมาก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,554
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,726
    ค่าพลัง:
    +26,584
    ส่วนการเดินทางทางน้ำทางเรือนั้น ได้ยินแต่ผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟัง ก็คือการนั่งเรือจากสุพรรณบุรี ตั้งแต่ประตูน้ำโพธิ์พระยา ลงมานครชัยศรี แล้วก็ออกไปสมุทรสาคร

    สิ่งที่ตนเองเห็นนั้นก็ตอนที่ไปบ้านป้า ซึ่งบ้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำสวนแตง แม่น้ำสวนแตงสมัยก่อนใหญ่โตมโหฬารมาก เพราะว่ามีการขุดลอกกันทุกปี เนื่องเพราะว่าต้องให้เรือบรรทุกข้าววิ่งผ่านได้ ถ้าอยากรู้ว่าเรือบรรทุกข้าวลำใหญ่ขนาดไหน ให้ไปดูที่วัดพุทธพรหมยาน เรือ ๒ ลำที่เขาเอามาทำเป็นห้องพักของรีสอร์ทนั่นแหละ..! นั่นคือเรือบรรทุกข้าว มาตอนหลังมีเรือบรรทุกทราย ซึ่งอยู่ในลักษณะท้องแบนเพิ่มเติมขึ้นมา ลากจูงด้วยเรือโยง หรือไม่ก็ใช้เรือโยงลากจูงแพไม้ไผ่เพื่อเอาไปจำหน่าย ซึ่งสมัยนั้นไม้ไผ่ที่เอามาจำหน่าย ส่วนใหญ่ก็ส่งเข้าโรงงานทำก้านธูป ทำตะเกียบ

    แล้วเด็ก ๆ ก็ซนมาก ชอบเกาะเรือโยง บางคนดวงซวย ๆ ขึ้นมาจมน้ำตายไปเลยก็มี..! อย่างเช่นว่าเกาะเรือโยงแพไม้ไผ่ แล้วก็ดำน้ำแข่งกันว่าใครจะพ้นแพก่อน ปราฏว่าลงไปแล้วหลงทิศ แทนที่จะดำยาวเพื่อไปออกท้ายแพ ก็กลายเป็นวนอยู่ข้างใต้แพ จนขาดอากาศหายใจตายไปเลย ซึ่งเรื่องเล่นซนเหล่านี้เป็นเรื่องของเด็ก ๆ ทุกยุคทุกสมัย เด็ก ๆ มักจะเล่นเอาสนุกโดยไม่ได้คิดถึงอันตราย ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างที่จะดูแลกันยาก..!

    แต่ว่าสมัยก่อนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ค่อนข้างจะเข้มงวด ตอนที่กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่ชั้น ป. ๕ ปั่นจักรยานกลับบ้าน ผ่านสระน้ำใหญ่ ๓ คนเพื่อนฝูงกันก็ลงไปเล่นน้ำ ปรากฏว่าคุณครูที่กลับบ้านผ่านมาเห็นเข้า เรียกไปตีด้วยแขนงไม้สน หรือกิ่งสนนั่นแหละ ๓ ทีแตก ๖ รอย..! เพราะว่าท่านเองเห็นว่า
    ถ้าเรามัวแต่เล่นอยู่อันตรายจะเกิดขึ้น ไม่รู้จะจมน้ำตายตอนไหน ? แต่เด็ก ๆ ไม่รับรู้ เอาแต่สนุกอย่างเดียว..!

    ดังนั้น..พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ค่อนข้างจะเข้มงวด จึงทำให้เด็กไม่กล้าออกนอกลู่นอกทางมาก แล้วยิ่งได้ไปวัด มีหลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ช่วยแนะนำสั่งสอนให้ จึงทำให้เด็กสมัยเก่า ๆ นั้น ต้องบอกว่าเป็นเด็กดี อยู่ในกรอบเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่อยู่นอกกรอบไปจะ ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...