ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MOREMOVE

    #มอร์มูฟเป็นข่าว เปิดโทษจุดไฟเผาหญ้า-ขยะที่โล่ง #จำคุกถึงประหาร หนึ่งในสาเหตุฝุ่นละออง PM 2.5


    โดยเรื่องนี้ แฟนเพจเฟซบุ๊ก กองปราบปราม ได้โพสต์ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเผาหญ้า ขยะ และสิ่งไม่พึงประสงค์ในที่โล่งแจ้ง ซึ่งระบุว่า การเผาในที่โล่งแจ้ง เช่น การเผากำจัดขยะมูลฝอย หญ้า หรือสิ่งอันไม่พึงประสงค์ใดๆ ที่มักนิยมใช้วิธีการใช้เชื้อเพลิงจุดเผาเพราะเป็นวิธีที่ได้ผลอย่างรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่การกำจัดเศษซากพืชหรือขยะด้วยวิธีนี้ #นอกจากจะเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กแล้ว #ยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญกับผู้อื่น และอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามได้อีกด้วย


    ซึ่งการกระทำเหล่านี้มีกฎหมายอัตราโทษไว้ตามระดับของความร้ายแรงแห่งการกระทำดังนี้


    การเผาหญ้า หรือขยะ หรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเอง ยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่อาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลอื่น เพียงแต่ก่อให้เกิด กลิ่น แสง สี เสียง รังสี ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แก่ผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง


    ตามกฎหมายกำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งห้ามเป็นหนังสือให้ผู้เจ้าของที่ดินผู้เผาหยุดกระทำการดังกล่าวได้ และยังสามารถกำหนดวิธีการเพื่อป้องกันเหตุรำคาญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ห้ามมิให้ทำการเผาอีกต่อไป และหากเจ้าของที่ดินผู้เผายังฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นก็จะมีความผิดอาญา โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 มาตรา 25 ,26,28,74 )


    หากการเผาหญ้า หรือขยะ หรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองมีความรุนแรงถึงขั้นที่ 'น่าจะ' เป็นอันตรายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น เจ้าของที่ดินผู้เผาจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 220 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท ทั้งนี้ โดยที่ไม่ต้องเกิดเพลิงไหม้หรือความเสียหายขึ้นจริงๆ เพียงแต่น่าจะเกิดก็เป็นความผิดตามมาตรา 220 แล้ว


    หากการเผาหญ้า หรือขยะ หรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองเกิดอันตรายขึ้นแก่ทรัพย์สินหรือบุคคลอื่นจริงๆ ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 218 หรือมาตรา 224 แล้วแต่กรณี ซึ่งมีระวางโทษสูงสุด ถึงประหารชีวิต ยกเว้นหากทรัพย์สินที่เกิดเพลิงไหม้หรืออาจจะเกิดเพลิงไหม้นั้นมีราคาเล็กน้อย ผู้กระทำก็จะได้รับโทษเบาลงตามมาตรา 223


    หากลักษณะการเผาหญ้า หรือขยะ หรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเอง โดยผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลได้อยู่แล้วว่า ลักษณะการจุดไฟเผาของตนอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้อย่างแน่นอน เช่น จุดไฟในลักษณะที่ใกล้เคียงกับบ้านหรือทรัพย์สินของคนอื่นอย่างมาก ในช่วงที่ลมแรง เช่นนี้ ผู้กระทำผิดย่อมมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 217-218 แล้วแต่กรณี ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงถึงประหารชีวิต.


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8747.JPG
    (Feb 1) เงินเฟ้อทั่วไป เดือน ม.ค. 62 สูงขึ้น 0.27% ผลจากราคาพลังงานประกอบกับสินค้าเกษตร : เงินเฟ้อทั่วไป เดือน ม.ค. 62 สูงขึ้น 0.27% ผลจากราคาพลังงาน ประกอบกับสินค้าเกษตร ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนคาดจะมีผลหลังจากแข็งค่าขึ้น มีผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรและรายได้ หวังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแล


    นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ทั่วไป เดือนมกราคม 2562 เท่ากับ 101.71 เพิ่มขึ้น 0.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และชะลอตัวลง 0.36 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยการชะลอตัวของเงินเฟ้อ สาเหตุมากจากการลดลงของราคาพลังงาน ลดลงจาก 1.24% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 3.51% ตามการลดลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่หมวดอาหารสดสูงขึ้น 1.14% จากราคาข้าวสาร เนื้อสัตว์ และเครื่องประกอบอาหาร ส่วนราคาผลผลิตสินค้าเกษตรบางชนิด ลดลงตามปริมาณผลผลิต อย่างไรก็ดี เมื่อไม่รวมอาหารสดและพลังงานออก มีผลทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 0.69% ขณะที่เงินเฟ้อทั้งปียังคงเป้าหมาย 1.2%


    โดยปัจจัยที่มีผลต่อเงินเฟ้อ การลดลงของราคาพลังงาน เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ลดลง 6.09% ยกเว้น ก๊าซธรรมชาติ (NGV) และก๊าซยานพาหนะ (LPG) นอกจากนี้ หมวดผักและผลไม้ ลดลง 4.36% เนื่องจากปัจจัยสภาพอากาศมีผลทำให้ ผลผลิตดีขึ้น ส่วนหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.34% โดยเฉพาะข้าว แป้ง เยื้อสัตว์ ไข่และผลิตภัณฑ์นม หมวดเคหสถาน สูงขึ้น 0.76% หมวดการตรวจสุขรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้น 0.67% หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา สูงขึ้น 0.29% หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้น 0.22% หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 0.01%


    อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของเงินเฟ้อในเดือนนี้ สาเหตุหลัก มาจากการลดลงของราคาน้ำมีน ตามการลดลงของตลาดโลก การลดลงของราคาผัก ผลไม้ ตามปริมาณที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการชะลอการปรับค่าโดยสารสาธารณะ และการแข็งค่าของเงินบาท ในขณะที่ราคาสินค้าในหมวดอื่น ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ และหากพิจารณาจากปัจจัยอื่น โดยเฉพาะต้นทุนและปริมาณผลผลิตแล้ว ยังพบว่าการบริโภคยังอยู่ในระดับดี สอดคล้องไปตามดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และมองว่าเงินเฟ้อจะยังเคลื่อนไหวในระดับที่เสถียรภาพอยู่


    กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์เงินเฟ้อปี 2562 อยู่ในกรอบ 0.7-1.7% หรือประมาณการณ์ 1.2% ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อยู่ในกรอบ 3.5-4.5% น้ำมันดิบดูไบ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 32.5-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ พร้อมกันนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงถึงว่าต่ำสุดในรอบ 27 เดือน และอัตราแลกเปลี่ยนก็มีผลทำให้ต่อเงินเฟ้อ และกดดันต่อสินค้าเกษตร ทำให้รายได้ลดลง ซึ่งก็คาดหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามดูแลต่อไป


    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


    - แถลงข่าวจากกระทรวงพาณิชย์

    http://www.price.moc.go.th/price/fileuploader/file_cpi/Cpig012562_tg.pdf
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8749.JPG
    (Feb 1) ค่าเงินบาท'เสี่ยง เป็นเครื่องมือการเมือง : เริ่มศักราชปี 2562 เพียงแค่เดือนเดียว ค่าเงินบาทก็ทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 9 เดือน ทยอยปรับแข็งค่าขึ้นจาก 32.30 เมื่อสิ้นปีมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 31.20-31.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะนี้เงินบาทที่แข็งค่าทำให้กระทรวงการคลังไม่สบายใจ ถึงขั้นที่ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ต้องเอ่ยปากอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแล ไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินภูมิภาค เพื่อไม่ให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน



    ค่าเงินบาทเป็นตัวแปรหนึ่งต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ เนื่องจากสัดส่วนใหญ่เกินครึ่งหนึ่งของจีดีพียังคงเป็นการส่งออก และการที่เงินบาทแข็งค่ามีผลกระทบใน 2 ส่วน



    ส่วนแรก คือ รายได้ของผู้ส่งออกที่กำหนดราคาซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์ เมื่อเงินบาทแข็งค่า การทอนกลับเป็นเงินบาทนำรายได้เข้าประเทศน้อยลง



    ส่วนที่สอง คือ ความสามารถในการแข่งขัน จากการที่เงินบาทแข็งค่า คู่ค้าของไทยโดยเฉพาะประเทศที่ค่าเงินอ่อน จะเห็นว่า สินค้าไทยแพง เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ผลิตสินค้าประเภทเดียวกัน แต่ค่าเงินอ่อนกว่าราคาถูกกว่า คู่ค้าก็เลือกที่จะซื้อสินค้าจากประเทศที่ได้ราคาถูกกว่า



    แม้ว่า พ.ร.ฎ.เลือกตั้งได้เกิดขึ้นมาและมีการกำหนดวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.เป็นที่ชัดเจน แต่การทำหน้าที่ของรัฐบาลชุดปัจจุบันยังคงเดินหน้าต่อไป คงไม่ดีแน่ที่จะใส่เกียร์ว่าง ปล่อยให้เศรษฐกิจเป็นไปตามยถากรรม



    รมว.คลัง ก็เป็นหนึ่งในผู้กำกับดูแลนโยบายการคลังที่หมายรวมถึงการดูแลภาวะเศรษฐกิจให้เติบโตไปตามเป้าหมายที่อยากเห็นจีดีพีเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% จึงไม่อยากให้สะดุดจากเงินบาทที่แข็งค่า



    เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจและการคาดการณ์ของสำนักวิจัยต่างๆ ล้วนแต่มองว่า ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากของเศรษฐกิจ เพราะเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอ่อนแรงลง



    การส่งออกถูกท้าทายจากการค้าโลกชะลอ เศรษฐกิจจีนเติบโตน้อยลง และยังต้องรอดูผลของสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐที่คุกรุ่น ทำให้แนวโน้มการส่งออกปีนี้เติบโตชะลอลงอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่ รมว.คลัง จะไม่อยากเห็นการส่งออกถูกซ้ำเติมจากเงินบาทแข็งค่า



    ทว่า ฝ่ายที่ถูกพาดพิงอย่าง ธปท. แม้ว่าจะไม่ได้ตอบโต้ถึงการดูแลอัตรา แลกเปลี่ยนทันควัน เนื่องจากอยู่ในช่วงไซเรนพีเรียดก่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกของปีในวันที่ 6 ก.พ.นี้ แต่เชื่อแน่ว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจถึงความเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค แค่ไม่สามารถพูดได้เพราะจะเป็นการชี้นำตลาดให้เกิดการเก็งกำไร คงต้องไปสังเกตทุนสำรองเองว่าเมื่อใดที่เพิ่มขึ้นมากก็อนุมานได้ว่ามีการเข้าไปดูแล



    "การแข็งขึ้นของเงินบาทเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น ตอบรับกับข่าวความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน" จันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธปท. ชี้แจงคร่าวๆ



    อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐที่คงดอกเบี้ย และส่งสัญญาณไม่รีบเร่งการขึ้นดอกเบี้ย เข้ามาเป็นปัจจัยเสริมให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอยู่ จากการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง



    กอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่าไปถึง 4.2% เทียบกับดอลลาร์ มากกว่าประเทศในภูมิภาค โดยรูเปียห์อินโดนีเซียแข็งค่า 3% หยวนแข็งค่า 2.6% ริงกิตมาเลเซียแข็งค่า 1.1% วอนเกาหลีใต้แข็งค่า 0.3% รูปีอินเดียอ่อนค่า 1.8% เป็นผลจาก เฟดฉายภาพการยืดหยุ่นนโยบายการเงิน ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แผ่วไป



    สิ่งสำคัญ คือ ผลการประชุม กนง. วันที่ 6 ก.พ.นี้ จะสื่อสารออกมาในโทนใด เพราะข้อมูลตลาดการเงินขณะนี้หลายประเทศในภูมิภาคเริ่มปรับสู่ดอกเบี้ยขาลง ไม่ว่าจะเป็น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย หาก กนง.ยังให้น้ำหนักไปที่ความกังวลในเรื่องขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) การแสวงหาผลตอบแทนสูง (Search for Yield) หรือการประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร จะทำให้ตลาดทำนายว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อ เป็นทางตรงข้ามกับดอกเบี้ยขาลงในภูมิภาค เงินทุนอาจจะไหลเข้ามาในไทย กดดันให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอีก



    ปัจจัยสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่ามีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งฐานะด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่ง เป็นแหล่งพักเงิน (Safe Haven) กำลังผนวกเข้ากับการที่ไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ทำให้มุมมองของต่างชาติมีความเชื่อมั่นและสนใจประเทศไทยมากขึ้น



    "หากคำนึงปัจจัยฤดูกาลและเลือกตั้ง จะเห็นว่าเงินบาทโน้มด้านแข็งอยู่ หวังว่าจะเริ่มอิ่มตัวแล้วเพราะต้นปีแข็งค่ากว่าภูมิภาคมาก แต่ต้องระวัง หากแถลงการณ์ กนง.มีเก็บกระสุน หรือห่วงความเสี่ยงเชิงระบบต่างๆ เชื่อว่า บาทแข็งต่อไปอีก เพราะตลาดตีความ กนง.ว่ายังมีเจตนาขึ้นดอกเบี้ย แม้ส่วนตัวยังไม่คิดว่าขึ้นรอบนี้ก็ตาม" กอบสิทธิ์ กล่าว



    การส่งสัญญาณจาก รมว.คลัง ไปถึง ธปท.ในจังหวะนี้ อดคิดไม่ได้ว่า กระทรวงการคลังคงอยากสะกิดให้ ธปท. รวมทั้ง กนง.พิจารณาถึงปัจจัยเฉพาะหน้าด้วย ไม่ใช่ดูเพียงเสถียรภาพ เพราะปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังถูกปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า และสุญญากาศระหว่างการเลือกตั้งจนถึงการมีรัฐบาลชุดใหม่ ยังต้องการกำลังเสริมจากนโยบายการเงินเข้ามาช่วยพยุง หากรีบเร่งขึ้นดอกเบี้ยเก็บกระสุนให้ได้ตามเป้าหมาย สุดท้ายอาจจะต้องใช้กระสุนนั้นเร็วกว่าที่คาดก็ได้



    ผู้ว่าการ ธปท. วิรไท สันติประภพ ย้ำเสมอถึงเหรียญสองด้านของนโยบายการเงิน ซึ่งทุกด้านล้วนมีต้นทุนที่ต้องจ่าย หรือมีความเสี่ยงที่ต้องแบกรับและแก้กันไป ฉะนั้น การตัดสินใจนโยบายการเงิน ย่อมเลือกในทางที่ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่



    เชื่อว่า กระทรวงการคลังและ ธปท.จะให้เกียรติซึ่งกันและกันในการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ในขณะเดียวกัน หากมีประเด็นที่ต้องเสริมระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ก็สามารถทำงานร่วมกันได้



    การคานน้ำหนักระหว่างการเติบโตเศรษฐกิจและเสถียรภาพของระบบ ไม่ว่ามองทางไหนก็ไม่มีใครผิด เพียงแต่ "ค่าเงินบาท" มักตกเป็น ผู้ต้องหาเสมอ



    ในอดีตที่ช่วงเงินบาทแข็งค่ามีความเสี่ยงกระทบผู้ส่งออกและเศรษฐกิจ ก็จะมีเสียงจากฝั่งพระราม 6 ที่อยากจะให้นำทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองอาจจะต้องจับตามากขึ้นในช่วงที่มีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งต้องพิสูจน์ผลงานด้านบวก โดยเฉพาะผลงานที่ประจักษ์มากที่สุด คือ จีดีพี ที่ต้องดันให้เติบโต และสิ่งที่ง่ายที่สุดคือการใช้ค่าเงินบาทมาเป็นเครื่องมือ



    เมื่อนั้น แรงกดดันก็คงไปตกอยู่ที่ ธปท.ที่จะถูกกล่าวหาว่าไม่ดูแลค่าเงินบาทให้เอื้อกับผู้ส่งออกไทยและเศรษฐกิจไทย ทั้งที่ ธปท.สื่อสารกับผู้ประกอบการเสมอว่าควรป้องกันความเสี่ยง



    มีความเป็นไปได้ว่าคงจะเห็น วิวาทะระหว่างกระทรวงการคลังกับ ธปท.ที่ร้อนแรงมากขึ้น โดยค่าเงินบาทจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการอธิบายผลงานของ รัฐบาล


    โดย ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์


    Source: Posttoday
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8750.JPG
    (Feb 1) กองทุนบำนาญญี่ปุ่นใหญ่ที่สุดในโลกขาดทุนเป็นประวัติการณ์- กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกองทุนบำนาญขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแจ้งขาดทุนรายไตรมาสมากเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ภาวะหุ้นโลกปั่นป่วนปลายปีก่อน


    นายโนริฮิโระ ทาคาฮาชิ ประธานกองทุนออกถ้อยแถลงในวันนี้ว่า ไตรมาสเดือนตุลาคม-ธันวาคมปีก่อน กองทุนขาดทุนร้อยละ 9.11 หรือราว 14.8 ล้านล้านเยน (ราว 4.25 ล้านล้านบาท) เพราะความกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจและธุรกิจโลกไม่แน่นอน ทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้หุ้นในประเทศและต่างประเทศร่วงลงอย่างหนัก อย่างไรก็ดี กองทุนนี้เป็นนักลงทุนระยะยาวและมีกำไรเฉลี่ยร้อยละ 2.73 ต่อปี ปัจจุบันกองทุนลงทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการของญี่ปุ่นมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 150 ล้านล้านเยน (ราว 43 ล้านล้านบาท)


    เอเอฟพีระบุว่า หุ้นโลกดิ่งลงถ้วนหน้าช่วงปลายปีก่อน เพราะสงครามการค้าจีน-สหรัฐทวีความตึงเครียด ประกอบกับสหรัฐเตรียมเข้าสู่ภาวะการปิดที่ทำการรัฐบาลกลาง หรือชัตดาวน์ สร้างความกังวลให้นักลงทุน


    Source: สำนักข่าวไทย

    https://www.tnamcot.com/view/5c5416c5e3f8e40acf0098b8
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โพสต์ทูเดย์


    จีนเป็นประเทศที่ประสบปัญหาหมอกควันพิษมาเป็นเวลาร่วมสิบปี และหนึ่งในมาตรการแก้ไขในช่วงวิกฤตก็คือการ "คุมร้านปิ้งย่าง"


    https://www.posttoday.com/world/579051


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8751.JPG
    (Feb 1) เฟดเปลี่ยนทิศ แตะเบรกขึ้นดอกเบี้ย : อาจเรียกได้ว่าเป็นข่าวดีที่สุดของแวดวงเศรษฐกิจโลกในปีนี้ก็ว่าได้ จนทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกบวกยกแผงกันไปเมื่อวานนี้ เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) นัดแรกของปี 2019 เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา มีสัญญาณชัดเจนออกมาว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ครั้งหน้าออกไปยาวๆ



    และสิ่งที่แฝงเอาไว้ในการส่งสัญญาณครั้งนี้ด้วยก็คือ นี่อาจเป็น "การยุติวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของเฟด" ก็เป็นได้



    สิ่งที่ปรากฏในแถลงการณ์ของเฟดก็คือ เอฟโอเอ็มซีจะใจเย็นต่อการพิจารณาปรับกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยในอนาคตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม



    แม้จะไม่ถึงขนาดหันหัวเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินแบบ 180 องศา แต่หากเทียบกับสาส์นของการประชุมเอฟโอเอ็มซีครั้งก่อนเมื่อเดือน ธ.ค. 2018 จะเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน โดยในครั้งที่แล้ว เฟดเพิ่งส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไป แต่ในครั้งนี้ไม่มีคำว่า "ขึ้นดอกเบี้ย" ปรากฏให้เห็นแต่อย่างใด



    สะท้อนได้ว่า เฟดไม่ได้มุ่งเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว และคงไม่ผิดนักหากตลาดจะตีความว่า นี่คือสัญญาณแตะเบรกยุคดอกเบี้ย ขาขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงการชะลอขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหม่ไปยาวๆ จนถึงช่วงครึ่งปีหลังหรือช่วงปลายปี โดยอาจปรับลดการขึ้นดอกเบี้ยเหลือเพียง 1 ครั้ง เหมือนที่นักวิเคราะห์บางฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้ หรือในกรณีที่โลกวุ่นวายเศรษฐกิจเลวร้ายลงมากกว่าที่คาดไว้ ก็อาจแตะเบรกยาวไปทั้งปี หรือไม่ขึ้นดอกเบี้ยเลยก็อาจเป็นได้



    เจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการเฟด ส่งสัญญาณระหว่างการแถลงข่าวว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะยังขยายตัวได้ดี แต่การเติบโตที่ชะลอตัวลงในจีนและยุโรป ความเสี่ยงจากเบร็กซิตและสงครามการค้า และผลกระทบของ ภาวะชัตดาวน์ในสหรัฐเองที่ยืดเยื้อมาถึง 5 สัปดาห์ ล้วนเป็นปัจจัยส่งสัญญาณที่สับสนต่อทิศทางในอนาคต



    ในภาวะเช่นนี้ การบริหารจัดการความเสี่ยงตามปกติที่ควรจะทำก็คือ ควรใจเย็นอดทนรอดูความชัดเจนก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาผู้กำหนดนโยบายล้วนทำมาก่อนในอดีต และเมื่อถูกถามว่า เฟดยังคงมีธงว่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกหรือไม่นั้น สิ่งที่พาวเวลล์ตอบกลับมาก็คือ อยากเห็นความจำเป็น(ปัจจัยหนุน)สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ปัจจัยหลักก็คือภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เป็นตัวตัดสิน แต่ก็ยังเป็นปัจจัยหลักที่มีน้ำหนักสำคัญอยู่



    นอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่เฟดส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็คือ "งบดุล" (Balance Sheet) ที่เฟดระบุว่าได้เตรียม พร้อมสำหรับทุกการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียด สำหรับกระบวนการปรับลดขนาดงบดุลให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติ ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงไป



    นั่นหมายความว่า จากเดิมที่เคยประกาศไว้ว่าจะลดขนาดงบดุลให้กลับมาสู่ภาวะปกติ เฟดได้เปิดช่องสำหรับ "แตะเบรก" การลดงบดุลลงด้วยเช่นกัน



    ทั้งนี้ การใช้มาตรการผ่อนปรนทางการเงินเชิงปริมาณ (คิวอี) มหาศาลถึง 3 ครั้ง นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ทำให้งบดุลของเฟดโป่งถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ



    และทำให้ต้องปรับงบดุลให้กลับมาเป็นปกติไปพร้อมกับการขึ้นดอกเบี้ย การลดงบดุลของเฟดหลักๆ มี 2 ทาง คือ 1.ไม่โรลโอเวอร์ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนและไม่ซื้อเพิ่ม 2.ทยอยขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ออกไป ซึ่งการลดงบดุลเช่นนี้จะทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือดอกเบี้ย กู้ยืมในตลาดการเงินที่ต่างจากดอกเบี้ยอ้างอิงของเฟด ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย



    ไมเคิล กาเพน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารบาเคลย์ส ให้มุมมองกับบลูมเบิร์กว่า สัญญาณใหม่ของเฟดรอบนี้ไม่อาจตีความเป็นอื่นไปได้เลยนอกจากเฟดได้ยอมจำนนต่อตลาดแล้ว และตลาดก็จะตีความสัญญาณล่าสุดว่า วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของเฟดได้หยุดลงแล้ว ซึ่งความเป็นไปได้ที่เฟดจะชะลอการระบายงบดุลนั้นมีมากยิ่งกว่าโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเสียอีก



    ด้าน เคธี บอสต์ยันซิค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของออกซฟอร์ด อีโคโนมิก มองไปในทิศทางเดียวกันว่า การเปลี่ยนท่าทีในครั้งนี้เป็นเพราะเฟดได้รับบทเรียนจากตลาดทุนโลกมาแล้ว หลังจากที่ตลาดทุนโลกปั่นป่วนอย่างหนักในช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้เฟดต้องออกมาส่งสัญญาณใหม่ว่า พร้อมรับฟังเสียงของตลาดด้วยเช่นกัน



    แม้ว่าความเห็นของตลาดทุนส่วนใหญ่จะตีความเอียงไปยังการหยุดขึ้นดอกเบี้ยกันมากสักหน่อย แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์ใหญ่ๆ นอกบ้านสหรัฐในเวลานี้ก็จะเห็นว่า มีน้ำหนักน่าห่วงจริง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจจีน ยุโรป เบร็กซิต และสงครามการค้า



    เศรษฐกิจจีนนั้นไม่มีอะไรต้องพูดกันมาก เพราะพิสูจน์จากตัวเลขจีดีพีปี 2018 ที่โตต่ำสุดในรอบ 28 ปีมาแล้ว และมีแนวโน้มที่รัฐบาลประธานาธิบดี สีจิ้นผิง อาจต้องลดกรอบเป้าหมายจีดีพี ปีนี้ลงจากราว 6.5% มาอยู่ที่ 6-6.5% และเตรียมออกมาตรการกระตุ้นใหญ่ระหว่างการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในเดือน มี.ค. ที่จะถึงนี้ เพราะเศรษฐกิจจีนกำลังแย่ลงหลายด้าน ตั้งแต่การผลิต ส่งออก บริโภค ไปจนถึงตลาดการจ้างงาน และยังไม่มีความแน่ชัดว่าการเจรจาการค้ากับสหรัฐจะจบลงด้วยดีหรือไม่



    ปัจจัยลบจากจีนนี่เองที่เป็นส่วนสำคัญให้นักค้าเงินคาดการณ์ว่า ค่าเงินในหลายประเทศเอเชียที่กำลังแข็งค่าหนักในวันนี้เมื่อเทียบกับดอลลาร์จะกลับมาอ่อนค่าลงในที่สุดช่วงปลายปีนี้ เช่น เงินบาทไทย จากประมาณ 31.20 บาท/ดอลลาร์ในปัจจุบัน ธนาคารราโบแบงก์ คาดว่าจะอ่อนลงไปแตะ 33.7 บาท/ดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้



    เศรษฐกิจในยุโรปเองก็มีแนวโน้มแย่ลงในปีนี้ โดยการเปิดเผยจีดีพีล่าสุดของกลุ่มประเทศยูโรโซนในปี 2018 พบว่า ขยายตัวได้เพียง 1.8% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์และลดลงมามากเมื่อเทียบกับปี 2017 ที่ขยายตัวได้ 2.3% ขณะที่เศรษฐกิจอิตาลีนั้นได้เข้าสู่ "ภาวะถดถอย" ไปเรียบร้อยเป็นรายแรกแล้ว หลังจากจีดีพีไตรมาส 4 หดตัวต่อเนื่องติดต่อกันมาจากไตรมาส 3



    ขณะที่สถานการณ์ "เบร็กซิต" ก็ยังลูกผีลูกคน เพราะแผนเบร็กซิตยังไม่สามารถผ่านสภาอังกฤษมาได้ และมีความเสี่ยงสูงที่จะถึงเส้นตายวันที่ 29 มี.ค.นี้ แบบไม่มีข้อตกลง (โนดีล) ซึ่งจะยิ่งสร้างความวุ่นวายต่อภาคธุรกิจเอกชนและเศรษฐกิจโลกอีก



    ภายใต้ความเสี่ยงรายรอบเช่นนี้ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ไม่ขยับเพราะน้ำมัน(สหรัฐ)ท่วมโลกและการบริโภคซบเซา โอกาสที่เฟดจะแตะเบรกยาวจึงมีความเป็นไปได้สูงรับการหันหัวเรือใหม่ในครั้งนี้


    โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ


    Source: Posttoday
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8752.JPG
    (Feb 1) ฟ็อกซ์คอนน์'รื้อแผนตั้งโรงงานสหรัฐ : ฟ็อกซ์คอนน์ ปรับแผนสร้างโรงงานล้ำสมัยในวิสคอนซิน ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยชมว่า เป็นตัวอย่างที่ดีของนโยบายฟื้นภาคการผลิตสหรัฐ



    ฟ็อกซ์คอนน์ บริษัทอิเลกทรอนิกส์รายใหญ่ของไต้หวันแถลงวานนี้ (31 ม.ค.) ว่า บรรยากาศตลาดโลกนับตั้งแต่บริษัทประกาศแผนสร้างโรงงานที่วิสคอนซินครั้งแรกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ลูกค้า ฟ็อกซ์คอนน์เรียกร้องกันมามาก บริษัทจึงจำเป็นต้องปรับแผนในทุกๆ โครงการ รวมถึงที่วิสคอนซิน



    ก่อนหน้านี้ฟ็อกซ์คอนน์ผู้ผลิตอุปกรณ์และอะไหล่ให้กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำมากมาย รวมทั้งแอ๊ปเปิ้ล มีแผนสร้างโรงงานผลิตโทรทัศน์จอแอลซีดีในรัฐวิสคอนซิน ที่จะช่วยสร้างงานราว 13,000 อัตรา



    แผนการลงทุนดังกล่าวได้รับการยกเว้นภาษี 4 พันล้านดอลลาร์ แม้มีคนวิพากษ์วิจารณ์หนาหูแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ปลาบปลื้มมากถึงขนาดไปร่วม พิธีเปิดการก่อสร้างโรงงานร่วมกับ นายเทอร์รี กั๋ว ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ฟ็อกซ์คอนน์เมื่อฤดูร้อนปีก่อน มีรูปถือพลั่วสีทองด้วยกัน



    แต่ด้วยบรรยากาศเศรษฐกิจโลกที่ถูกซ้ำเติมด้วยสงครามการค้าของนายทรัมป์กับจีน ที่ฟ็อกซ์คอนน์มีโรงงานประกอบส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น ทำให้บริษัทไต้หวันรายนี้ต้องปรับเปลี่ยนแผน



    แต่แถลงการณ์ยังคงยืนยันเรื่องการสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ในรัฐวิสคอนซิน และการจ้างงาน 13,000 คน แถลงการณ์จากฟ็อกซ์คอนน์เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานข่าวอ้างคำพูดนายหลุยส์ วูผู้ช่วยนายกั๋ว ที่กล่าวว่า บริษัทอาจยกเลิกแผนสร้างโรงงานผลิตโทรทัศน์จอแบน แต่จะหันมาจ้างวิศวกรทักษะสูงเพิ่มขึ้น เพื่อมาทำงานด้านวิจัยและพัฒนา ซึ่งแผนนี้จ้างคนงานน้อยลงมาก



    แถลงการณ์จากฟ็อกซ์คอนน์ระบุด้วยว่า นอกเหนือจากแผนผลิตสินค้าดั้งเดิม เช่น โทรทัศน์ บริษัทกำลังหาวิธีการให้คนงานที่มีความรู้ในวิสคอนซินได้ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา พร้อมผลิตสินค้าและโซลูชันส์ไฮเทค โดยนายวูกล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ว่า ฟ็อกซ์คอนน์ไม่ได้ยกเลิกแผน



    "เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะยึดมั่นกับแผนการเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง"



    ฟ็อกซ์คอนน์ หรือชื่อเป็นทางการว่าหองไห่พรีซีชันอินดัสทรี เป็นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่อีกรายหนึ่งที่โดนสงครามการค้า เล่นงานทั้งขึ้นทั้งล่อง



    ผู้รับจ้างผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่สุดของโลกรายนี้ ประกอบสินค้าส่วนใหญ่ในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ลูกค้าสินค้าไฮเทคที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคในสหรัฐ ทำให้ฟ็อกซ์คอนน์เสียหายหนักจากภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกเก็บ



    แม้มีแผนลงทุนในรัฐวิสคอนซิน ฟ็อกซ์คอนน์ก็หนีไม่พ้นเสียงวิจารณ์ เมื่อนายสกอตต์ วอล์กเกอร์ อดีตผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกัน ผู้สนับสนุนให้ฟ็อกซ์คอนน์ตั้งโรงงาน แพ้เลือกตั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาให้กับผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ที่วิจารณ์ว่าการยกเว้นภาษีก้อนโตให้กับ ฟ็อกซ์คอนน์บดบังผลประโยชน์ที่ได้จากการจ้างงานภายในรัฐ



    นอกจากนี้ บริษัทก็ต้องพยายามจ้างงานให้ได้ตามเป้าที่ตกลงกับสหรัฐด้วย


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    - Foxconn's $20bn projects in US and China hit by growth fears

    https://asia.nikkei.com/Economy/Tra...-projects-in-US-and-China-hit-by-growth-fears
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    CA35D6FC-0E13-49B7-A28F-CB61E4FA5EEE.jpeg
    (Feb 1) งานวิจัยชี้คนหยุดใช้ Facebook 1 เดือน มีความสุขขึ้น และมีแนวโน้มกลับมาใช้งานน้อยลง : งานวิจัยหลายชิ้นบอกว่าการตีตัวออกห่างจาก Facebook ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น ล่าสุดมีงานวิจัยอีกชิ้นจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ระบุว่า คนที่เลิกเล่น Facebook 1 เดือนนั้นมีความสุขขึ้นจริงๆ


    ทีมวิจัยหาอาสาสมัคร 2,488 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ให้เลิกเล่น Facebook 1 เดือน (แต่ยังได้รับอนุญาตให้ใช้ Facebook Messenger) กับกลุ่มที่ยังเล่นอยู่ต่อไป โดยตลอดระยะเวลาการทดลองหนึ่งเดือน นักวิจัยได้เข้าไปตรวจสอบหน้าโปรไฟล์ และให้ผู้เข้าร่วมวิจัย ทำแบบทดสอบความรู้สึกแบบเรียลไทม์ ถามถึงความรู้สึกล่าสุดของผู้เข้าร่วมว่า 10 นาทีที่ผ่านมามีความรู้สึกอย่างไร


    ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มที่เลือกเลิกเล่น Facebook นั้นมีความสุขมากกว่ากลุ่มที่ไม่เลิก และพวกเขายังใช้เวลาบนโซเชียลแพลตฟอร์มอื่นน้อยลง โดยพวกเขาใช้เวลาไปกับครอบครัวและดูทีวีมากขึ้น และยังใช้เวลาเสพข่าวสารน้อยลงอีกด้วย ที่สำคัญคือหลังจบช่วงเวลาวิจัยพวกเขามีแนวโน้มกลับมาใช้งาน Facebook น้อยลง


    งานวิจัยชิ้นนี้ยังต่างจากชิ้นที่เคยได้ยินกันมา เพราะทำโดยนักวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่นักจิตวิทยาและทำในช่วงคาบเกี่ยวกับการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ 2018 ซึ่งนอกจากได้รู้ความรู้สึกของผู้เข้าร่วมวิจัยแล้ว ยังได้รู้ทัศนคติของพวกเขาช่วงเลือกตั้งด้วย โดยพวกเขาระบุว่าเมื่อได้รับข่าวสารน้อยลง ก็ทำให้รู้สึกว่าความคิดไม่เทไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งจนเกินไป


    Source: Blognone.com

    https://techcrunch.com/2019/01/31/stanford-nyu-econ-facebook-study/
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    87A3DD04-C034-47EA-B2BE-578BC92A15F5.jpeg
    (Feb 2) ทรัมป์ขู่มีโอกาสสูงประกาศภาวะฉุกเฉินสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโก : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวในวันนี้ว่า มีโอกาสสูงที่เขาจะประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อให้มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก


    อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ไม่ได้กล่าวว่า เขาจะประกาศภาวะฉุกเฉินอย่างแน่นอน แต่เขาบอกผู้สื่อข่าวว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินจะช่วยให้กระบวนการต่างๆดำเนินไปได้

    ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะเจรจากันเพื่อจัดทำร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณสำหรับความมั่นคงตามแนวชายแดนในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งปธน.ทรัมป์หวังว่าจะมีการบรรจุงบประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกตามข้อเรียกร้องของเขา ก่อนที่งบประมาณชั่วคราวสำหรับหน่วยงานรัฐบาลจะหมดลงในวันที่ 15 ก.พ.


    หากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันไม่สามารถบรรลุข้อตกลงภายในวันที่ 15 ก.พ. ปธน.ทรัมป์ก็อาจจะปล่อยให้เกิดภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) อีกครั้งหนึ่ง หรือเขาอาจยอมลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณ พร้อมกับใช้อำนาจประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินแห่ง


    ชาติ และออกกฎหมายอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก โดยไม่ต้องผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส


    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ


    - Trump: ‘There’s a good chance we’ll have to’ declare a national emergency to build the wall : https://www.cnbc.com/2019/02/01/tru...-national-emergency-for-wall.html?forYou=true
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    656D41D6-6171-499C-BC81-694D720A49CD.jpeg
    (Feb 2) Update: ทองคำสำรอง' คำตอบสุดท้ายเวเนซุเอลา : นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเมืองในเวเนซุเอลาเมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อ ฮวน กุยโด ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติประกาศตัวเป็นประธานาธิบดีรักษาการณ์ ขณะที่ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ก็ยังอยู่ ปัญหาเรื่องทองคำสำรองก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมา



    มาดูโร ขอถอนทองคำมูลค่า 1,200 ล้าน ดอลลาร์จากธนาคารแห่งอังกฤษ (บีโออี) แต่ถูกปฏิเสธ ล่าสุดแหล่งข่าวระดับสูงเผยว่าเวเนซุเอลาเตรียมขายทองคำอีก 15 ตันจากแบงก์ชาติให้ยูเออีแลกกับเงินยูโร



    เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เวเนซุเอลามีแผนขายทองคำรวม 29 ตันจากธนาคารกลางในกรุงการากัส ให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ภายในเดือน ก.พ.นี้ โดยจ่ายเป็นเงินสกุลยูโรเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง มีเงินนำไปซื้อสินค้า พื้นฐานได้



    ปีนี้เวเนซุเอลาเริ่มขายทองคำที่ใช้ เป็นทุนสำรองสกุลเงินโบลิวาร์มาตั้งแต่ วันที่ 26 ม.ค. โดย "โซลาร์คาร์โก" สายการบิน ขนส่งสินค้ารายเล็กๆ ของเวเนซุเอลา ขนทองคำ 3 ตันออกจากสนามบินไมเกเทีย มุ่งหน้ายูเออี และส่งทองคำอีกรอบ หนัก 15 ตันในวันศุกร์ (1 ก.พ.) จากนั้น ส่งอีก 11 ตันในเดือน ก.พ. รวมทั้งสิ้น 29 ตัน จ่ายเป็นเงินยูโร แต่แหล่งข่าว ไม่เปิดเผยว่าบริษัทใดเกี่ยวข้องกับธุรกรรม ครั้งนี้บ้าง



    ก่อนหน้านี้ในปี 2561 เวเนซุเอลาขาย ทองคำได้ 900 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นทองคำบริสุทธิ์ที่ขายให้กับตุรกี



    ขณะนี้ประธานาธิบดีมาดูโร กำลังถูกกดดันอย่างหนักให้ลงจากตำแหน่ง เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศดิ่งเหว ประกอบกับถูกนานาชาติประณามเรื่องโกงการเลือกตั้งเมื่อปีก่อน



    เมื่อวันพุธ (30 ม.ค.) สหรัฐซึ่งหนุนหลังฝ่ายค้านโค่นมาดูโร ขอจัดเลือกตั้งใหม่ เตือนบรรดาธนาคารและผู้ค้าไม่ให้ซื้อขายทองคำเวเนซุเอลา



    มาร์โก รูบิโอ สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกัน ทวีตข้อความไปถึงสถานทูตยูเออีในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันพฤหัสบดี (31 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เตือนว่า ใครก็ตามที่ขนย้ายทองคำเวเนซุเอลาจะต้องถูกสหรัฐคว่ำบาตร



    จากตัวเลขเมื่อสิ้นเดือน พ.ย. เวเนซุเอลามีทองคำสำรองเก็บไว้ในธนาคารกลางและที่บีโออีรวม 132 ตัน รัฐบาลการากัส เริ่มขายทองคำเมื่อปีก่อน เนื่องจากผลผลิตน้ำมันตกต่ำ เศรษฐกิจล่มสลาย โดนสหรัฐคว่ำบาตรอย่างหนัก ส่งผล กระทบต่อรายได้ประเทศ จะขอกู้ยืมเงิน ใครก็ยาก แต่การขายทองคำปริมาณมาก ก็ทำให้เงินโบลิวาร์อ่อนค่า เปิดช่องให้เกิด วิกฤติการเงินได้ง่าย



    การกระทำของมาดูโรแตกต่าง จากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ผู้นำ คนก่อนหน้า ที่อ้างว่าเวเนซุเอลาจำเป็นต้องควบคุมสินทรัพย์ที่จับต้องได้ของธนาคารกลาง จึงเรียกคืนทองคำราว 160 ตันจากสหรัฐและยุโรปมาเก็บไว้ในกรุงการากัส



    ผู้ที่จงรักภักดีต่อชาเวซอย่าง กัสตาโว มาร์เกซ อดีตรัฐมนตรีการค้าสมัยชาเวซ วิจารณ์การขายทองคำของมาดูโรว่า รัฐบาลจะต้องกระทำการอย่างโปร่งใส



    "เราไม่รู้ว่ารัฐบาลจะขายอะไรอีก ขายภายใต้เงื่อนไขใด รัฐบาลจะทำอะไรต้องเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ"



    สถานการณ์จากยุคชาเวซมาถึงมาดูโรได้เปลี่ยนไปมาก ราคาน้ำมันดิ่งลงนับตั้งแต่มาดูโรรับตำแหน่งในปี 2556 เขาดูแลการผลิตน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่การ ใช้จ่ายไม่ได้ลดตาม ทำให้รัฐบาลการากัส มีหนี้สินพอกพูนจนล้นพ้นตัว ไม่สามารถกู้ยืมเงินก้อนใหม่ได้



    ไม่กี่วันก่อนชาวเวเนซุเอลาเพิ่งตื่นเต้นกันเรื่องขายทองคำสำรองเมื่อเครื่องบิน รัสเซีย 2 ลำมาจอดที่สนามไมเกเทีย เกิดข่าวลือหนาหูว่าจะมาขนทองคำ 20 ตันจาก ธนาคารกลาง



    เอลวิรา นาบิอุลลินา ผู้ว่าการธนาคารกลาง รัสเซีย ปฏิเสธข่าวว่าทองคำเวเนซุเอลาถูกขนส่งมายังรัสเซีย เช่นเดียวกับแหล่งข่าวรายเดิมที่บอกว่าข่าวนี้ไม่จริง



    อย่างไรก็ตาม ตราบที่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศยังคลุมเครือ เศรษฐกิจยังตกต่ำ ทองคำสำรองเวเนซุเอลาจะถูกพูดถึงอีกต่อไปไม่จบไม่สิ้น



    เวเนซุเอลามีแผนขายทองคำรวม 29 ตัน จากธนาคารกลางในกรุงการากัส ให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ภายในเดือน ก.พ.นี้


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    *********************************

    เวเนฯเตรียมขายทองคำสำรองให้ยูเออี


    รัฐบาลเวเนซุเอลามีแผนขายทองคำรวม 29 ตันจากธนาคารกลางในกรุงการากัส ให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ภายในเดือน ก.พ.นี้

    นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเมืองในเวเนซุเอลาเมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อฮวน กุยโด ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติประกาศตัวเป็นประธานาธิบดีรักษาการณ์ ขณะที่ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโรก็ยังอยู่ ปัญหาเรื่องทองคำสำรองก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมา


    มาดูโรขอถอนทองคำมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์จากธนาคารแห่งอังกฤษ (บีโออี) แต่ถูกปฏิเสธล่าสุดแหล่งข่าวระดับสูงเผยว่า เวเนซุเอลาเตรียมขายทองคำอีก 15 ตันจากแบงก์ชาติให้ยูเออีแลกกับเงินยูโร


    เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เวเนซุเอลามีแผนขายทองคำรวม 29 ตันจากธนาคารกลางในกรุงการากัส ให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ภายในเดือน ก.พ.นี้ โดยจ่ายเป็นเงินสกุลยูโรเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง มีเงินนำไปซื้อสินค้าพื้นฐานได้


    ปีนี้ เวเนซุเอลาเริ่มขายทองคำที่ใช้เป็นทุนสำรองสกุลเงินโบลิวาร์มาตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. โดย“โซลาร์คาร์โก” สายการบินขนส่งสินค้ารายเล็กๆ ของเวเนซุเอลา ขนทองคำ 3 ตันออกจากสนามบินไมเกเทียมุ่งหน้ายูเออี และจะส่งทองคำอีกรอบหนัก 15 ตันในวันศุกร์ (1 ก.พ.) จากนั้นส่งอีก 11 ตันในเดือน ก.พ. รวมทั้งสิ้น 29 ตัน จ่ายเป็นเงินยูโรแต่แหล่งข่าวไม่เปิดเผยว่า บริษัทใดเกี่ยวข้องกับธุรกรรมครั้งนี้บ้าง


    เมื่อปี 2561 เวเนซุเอลาขายทองคำได้ 900 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นทองคำบริสุทธิ์ที่ขายให้กับตุรกี


    ขณะนี้ประธานาธิบดีมาดูโร กำลังถูกกดดันอย่างหนักให้ลงจากตำแหน่ง เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศดิ่งเหว ประกอบกับถูกนานาชาติประณาเรื่องโกงการเลือกตั้งเมื่อปีก่อน


    เมื่อวันพุธ (30 ม.ค.) สหรัฐซึ่งหนุนหลังฝ่ายค้านโค่นนายมาดูโรแล้วจัดเลือกตั้งใหม่ เตือนบรรดาธนาคารและผู้ค้าไม่ให้ซื้อขายทองคำเวเนซุเอลา


    มาร์โก รูบิโอสมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันทวีตข้อความไปถึงสถานทูตยูเออีในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันพฤหัสบดี (31 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เตือนว่าใครก็ตามที่ขนย้ายทองคำเวเนซุเอลาจะต้องถูกสหรัฐคว่ำบาตร


    ตัวเลขเมื่อสิ้นเดือน พ.ย.เวเนซุเอลามีทองคำสำรองเก็บไว้ในธนาคารกลางและที่บีโออีรวม 132 ตัน รัฐบาลการากัสเริ่มขายทองคำเมื่อปีก่อน เนื่องจากผลผลิตน้ำมันตกต่ำ เศรษฐกิจล่มสลาย โดนสหรัฐคว่ำบาตรอย่างหนักส่งผลกระทบต่อรายได้ประเทศ จะขอกู้ยืมเงินใครก็ยากแต่การขายทองคำปริมาณมากก็ทำให้เงินโบลิวาร์อ่อนค่า เปิดช่องให้เกิดวิกฤติการเงินได้ง่าย


    การกระทำของนายมาดูโรแตกต่างจากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ผู้นำคนก่อนหน้า ที่อ้างว่าเวเนซุเอลาจำเป็นต้องควบคุมสินทรัพย์ที่จับต้องได้ของธนาคารกลาง จึงเรียกคืนทองคำราว 160 ตันจากสหรัฐและยุโรปมาเก็บไว้ในกรุงการากัส


    ผู้ที่จงรักภักดีต่อชาเวซอย่างกัสตาโว มาร์เกซอดีตรัฐมนตรีการค้าสมัยชาเวซวิจารณ์การขายทองคำของมาดูโรว่า รัฐบาลจะต้องกระทำการอย่างโปร่งใส


    “เราไม่รู้ว่ารัฐบาลจะขายอะไรอีก ขายภายใต้เงื่อนไขใด รัฐบาลจะทำอะไรต้องเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ”


    สถานการณ์จากยุคชาเวซมาถึงมาดูโรได้เปลี่ยนไปมาก ราคาน้ำมันดิ่งลงนับตั้งแต่มาดูโรรับตำแหน่งในปี 2556 เขาดูแลการผลิตน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่การใช้จ่ายไม่ได้ลดตาม ทำให้รัฐบาลการากัสมีหนี้สินพอกพูนจนล้นพ้นตัว ไม่สามารถกู้ยืมเงินก้อนใหม่ได้


    ไม่กี่วันก่อน ชาวเวเนซุเอลาเพิ่งตื่นเต้นกันเรื่องขายทองคำสำรองเมื่อเครื่องบินรัสเซีย 2 ลำมาจอดที่สนามไมเกเทีย เกิดข่าวลือหนาหูว่าจะมาขนทองคำ 20 ตันจากธนาคารกลาง


    เอลวิรา นาบิอุลลินาผู้ว่าการธนาคารกลางรัสเซีย ปฏิเสธข่าวว่า ทองคำเวเนซุเอลาถูกขนส่งมายังรัสเซีย เช่นเดียวกับแหล่งข่าวรายเดิมที่บอกว่าข่าวนี้ไม่จริง แต่ตราบที่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศยังคลุมเครือ เศรษฐกิจยังตกต่ำ ทองคำสำรองเวเนซุเอลาจะถูกพูดถึงอีกต่อไปไม่จบไม่สิ้น


    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


    เพิ่มเติม

    - Maduro’s Bid to Fly Gold Out of Venezuela Is Blocked: https://www.bloomberg.com/news/arti...d-to-halt-plan-to-ship-20-tons-of-gold-abroad


    - Turkey warned over Venezuela gold trade: https://www.bbc.com/news/world-europe-47092784
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    299E9E2E-B929-4D19-A0EF-6532EA5EFC0D.jpeg
    (Feb 2) กรรมการเฟดส่งสัญญานชะลอการขึ้นดอกเบี้ย: เจมส์ บุลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ (Voter) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC สนับสนุนแนวทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในลักษณะ patient โดยมองว่า การชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะ 2 ปี ข้างหน้า พร้อมระบุถึงมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่ามิได้มุ่งเน้นไปที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงระดับใดอีกต่อไป สำหรับความเห็นต่อการประกาศตัวเลขภาคการจ้างงานในวันนี้ นาย Bullard กล่าวว่า ผลจากภาวะตึงตัวของตลาดแรงงานต่ออัตราเงินเฟ้อในขณะนี้อยู่ในระดับ "extremely weak”


    ด้านนาย นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัส (Non-voter) ให้ความเห็นสอดคล้องกับนาย บุลลาร์ดสนับสนุนการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นระยะเวลอย่างน้อย “a couple of quarters” เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ทั้งสองท่าน เน้นย้ำว่าจะยังคงติดตามและประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และจะมีการปรับเปลี่ยนมุมมองให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ดีหรือแย่กว่าคาดการณ์


    Source: BOTSS


    - Bullard Says Patient Fed Should Mean ‘Very Good Couple of Years’: https://www.bloomberg.com/news/arti...ent-fed-should-mean-very-good-couple-of-years


    - Fed’s Kaplan: Fed Likely On Pause Until At Least Summer

    : https://www.wsj.com/articles/feds-kaplan-fed-likely-on-pause-until-at-least-summer-11549040516
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Feb 2) เพราะฝุ่นสร้างความต่าง : หากมาสรุปแบบสั้นให้เข้าใจ ง่ายๆ กับ PM 2.5 คือ ฝุ่นละออง ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งมีความละเอียดมากหรือเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ ถือได้ว่าขนจมูกที่มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่นยังไม่สามารถกรองได้ ทำให้ฝุ่นละอองชนิดนี้แพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจได้ทันที โดยปัจจุบันฝุ่นละอองในชั้นบรรยากาศมีขนาดตั้งแต่ 0.002 ไมครอน ถือได้ว่ามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไปจนถึงขนาดใหญ่กว่า 500 ไมครอน แต่ที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าคือฝุ่นที่มีขนาดตั้งแต่ 50 ไมครอนขึ้นไป


    เมื่อมานั่งย้อนนึกถึงสาเหตุของการเกิดฝุ่นพิษขนาดเล็กแบบนี้ นายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวในที่ประชุมว่า จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง (PM2.5) ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่าสาเหตุหลัก 50-60% มาจากรถเครื่องยนต์ดีเซล ทั้งรถบรรทุก รถกระบะ รวมถึงรถเมล์ประจำทาง พร้อมกันนี้ยังมาจากการเผาในที่โล่งประมาณ 35% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5-10% เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมและการลอยของฝุ่นเข้ามาจากพื้นที่อื่น

    IMG_8762.JPG IMG_8763.JPG IMG_8764.JPG

    ซึ่ง PM 2.5 องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุไว้ว่าอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง หากดูผิวเผินหลายคนมองว่าปัญหาดังกล่าว คงเข้ามาในระยะสั้นๆเดี๋ยวคงผ่านไป แต่หากตรวจสอบสถิติย้อนหลังจากรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษในอากาศก่อนวัยอันควรมากถึง 50,000 ราย



    อย่างที่ทราบกันดีปัญหาของฝุ่นละอองพิษไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศก็เกิดขึ้นเช่นกัน โดยการจัดการของแต่ละประเทศก็มีความแตกต่าง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเกาหลี ทางกระทรวงสิ่งแวดล้อมได้ออกมาตรการสั่งลดกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนลงกว่า 80 % ที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ขณะที่ประเทศจีนนายกเทศมนตรีกรุงปักกิ่งได้ผลักดันให้เกิดหน่วยงาน ตำรวจสิ่งแวดล้อม เข้ามาดูแลและบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจตราการเผาขยะ งดกิจกรรมที่ใช้ถ่านหินและการเผาไหม้ ไม่เพียงเท่านั้นยังเร่งปรับปรุงโรงงานราวๆ 2,000 แห่ง เพื่อให้ได้มาตรฐานการบำบัดมลพิษ



    ด้านอินเดียก็ประสบปัญหาฝุ่นละอองมากเช่นกัน จึงได้ออกมาตรการขึ้นราคาที่จอดรถให้แพงขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งมวลชน รวมทั้งสั่งห้ามใช้รถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีเครื่องยนต์แรงม้ามากกว่า 2000 ซีซี ขณะที่หลายเมืองในสหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อกำหนดในการปล่อยมลพิษของทุกอุตสาหกรรมโดยให้องค์กรท้องถิ่นและองค์กรกลางเข้ามาดูแลค่ามลพิษที่ปล่อยออกไป ซึ่งแนวทางดังกล่าวเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 1970 โดยขับเคลื่อนจากภาคประชาชนเอง หรือเกือบ 50 ปีที่แล้ว และล่าสุดทางฮ่องกงพร้อมติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยสามารถจัดการกับไอเสียของรถยนต์ได้ชั่วโมงละ 5.4 ล้านลูกบาศก์เมตร



    ภายใต้คราบของฝุ่นควันพิษมีหลากหลายปัจจัยให้ฉุกคิด ไม่ว่าจะเป็น การเริ่มจากตัวเอง ด้วยการมีหน้ากากอนามัยติดตัวไว้ทุกคน การแก้ปัญหาระยะยาวในเรื่องของมลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมให้ประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะ การควบคุมและตรวจสอบการปล่อยสารพิษของโรงงานอุตสาหกรรม และแน่นอนผลกระทบที่เห็นได้อย่างเด่นชัดคือประชาชน แต่ถ้าหากมองในมุมกว้างหากประสบปัญหานี้ต่อไปอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ที่สำคัญฝุ่นดังกล่าวนี้ยังทำให้ภาพลักษณ์ของ กทม.ติดอันดับ 9 จากสถิติการจัดอันดับเมืองหลวงที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก โดยกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประเทศไทย)



    บางครั้งการมาของฝุ่นก็สร้างความต่างทั้งในแง่ของการตื่นตัวที่ห้ามตระหนก ความต่างในการเพิกเฉยที่หลากหลายคนเคยมองข้ามผ่านกลายเป็นความรู้ที่ต้องพึงปฏิบัติ รวมทั้งความต่างที่ทางภาครัฐต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาระยะยาวมากกว่าระยะสั้น รวมทั้งพร้อมรับกับมลภาวะที่อาจเกิดขึ้นครั้งใหม่อันเกิดจากการขยายฐานอุตสาหกรรม อาทิ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นในขณะนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า มลภาวะทางอากาศต้องได้รับการดูแลเช่นกัน เพื่อวันหนึ่งกรุงเทพฯของเราจะกลับมามีหมอกอย่างสวยงามโดยไม่สับสนว่านี่ คือ หมอกหรือควัน ตามที่พี่เบิร์ด ธงไชย ได้ร้องไว้จนติดหู


    โดย อนุวัฒน์ โพธิ์ทอง


    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8765.JPG
    (Feb 2) ส่งออกอ่วมบาทแข็ง - ภาคเอกชนเตรียมหารือเสนอรัฐเร่งแก้ค่าเงินบาทแข็งที่สุดในโลก ชี้กระทบวงกว้าง ทำรายได้เข้าประเทศลด



    นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง เพราะกระทบผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องการส่งออกทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสินค้าอาหาร อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร



    อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้จะหารือกันในคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อรวบรวมประเด็นปัญหาเสนอรัฐบาลให้เร่งแก้ไข เพราะขณะนี้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าที่สุดในโลก ไม่ได้แข็งที่สุดในอาเซียน ดังนั้นฝ่ายนโยบายต้องใช้ความพยายามและความตั้งใจลงมาดูแลด้วย



    "อย่ามาตอบว่าทุนเข้าไทยเยอะ รัฐต้องสร้างสมดุล ขณะนี้ไม่ไหวจริงๆ ผมยังไม่ได้บวกเลขว่ากระทบการส่งออกหรือเงินเข้าประเทศกี่แสนล้านบาท รัฐบาลต้องรู้ร้อนรู้หนาวด้วย ผมคิดว่าทุกฝ่ายมีตัวเลขหมด แต่ควรมีมาตรการดูแลกลุ่มผู้ส่งออกสินค้าด้วย" นายพจน์ ระบุ



    สำหรับการส่งออกสินค้าอาหารของไทยในปี 2562 คาดว่าจะมีมูลค่า 1.12 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.5% จากปี 2561 กลุ่มที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มมี 8 กลุ่ม ได้แก่ ไก่ ปลาทูน่าปรุงแต่ง กุ้ง มันสำปะหลัง เครื่องปรุงรส มะพร้าว สับปะรด และอาหารพร้อมรับประทาน ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าวและน้ำตาลทราย



    "จากตัวเลข 1.12 ล้านล้านบาท คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32 บาท/ดอลลาร์ หากค่าเงินบาทแข็งเท่าไร เงินที่จะเข้าประเทศหายไปเท่านั้น อันนี้เป็นทางตรง ทางอ้อมคือรายได้ในมือของเกษตรกร ประชาชนหายไป และสุดท้ายหากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำก็ไม่พ้นที่รัฐบาลต้องลงมาดูแล" นายพจน์ กล่าว



    นายพจน์ กล่าวอีกว่า ขอเสนอให้รัฐบาลเปิดเสรีนำเข้าวัตถุดิบเพื่อแปรรูปส่งออก โดยเฉพาะสินค้าประมง เนื่องจากขณะนี้ขาดแคลนประมาณ 40-60% ของการส่งออก ซึ่งที่ผ่านมามีการนำเข้าจำนวนมาก โดยมีมูลค่า 385,499 ล้านบาท



    อย่างไรก็ดี ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารในปี 2562 คือ 1.การปลดล็อกใบเหลืองประมง การพ้นใบแดงไอเคโอ การลดจากประเทศที่ถูกจับตามองมาเป็นเทียร์ 2 ดังนั้นขณะนี้ภาพลักษณ์ไทยดีที่สุด 2.สินค้าอาหารไทยเป็นที่ต้องการของตลาดอาเซียน โดยเฉพาะซีแอลเอ็มวีที่ไทยครองตลาด 50-60% 3.ราคาพลังงานอยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ 4.การเมืองไทยมีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจน



    ด้านปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ 1.ความผันผวนการเมืองระหว่างประเทศ และสงครามการค้าที่จะกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก 2.แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น 3.การแข็งค่าเงินบาท 4.รายได้ผู้บริโภคลดลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และ 5.สหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไทย 11 รายการ


    Source: Posttoday
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวเศรษฐกิจก่อนนะคนับ เย็นๆ มาเรื่องภัยพิบัติต่อ
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    780C0B99-AE48-4389-B229-64C9BFEC35A9.jpeg
    (Feb 2) สื่อรายงานสหรัฐประกาศระงับข้อผูกพันในสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางกับรัสเซีย: สำนักพิมพ์ The Wall Street Journal รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศจะระงับข้อผูกพันในสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty: INT) ที่ลงนามร่วมกับรัฐบาลรัสเซียในปี 1987


    นอกจากนี้ ยังระบุว่าจะเริ่มถอนตัวออกจากสนธิสัญญา INT ภายหลังจากที่การเจรจากดดันเรื่องรัสเซียละเมิดข้อตกลงในสนธิสัญญาไม่ประสบความสำเร็จ โดยทางรัสเซียยังคงขยายและพัฒนาขีปนาวุธพิสัยกลาง Novator 9M729 และยืนกรานว่ามิได้เป็นการละเมิดข้อตกลงแต่อย่างใด


    ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Trump ระบุในแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในสนธิสัญญา INT อย่างเคร่งครัดยาวนานกว่า 30 ปี ในขณะที่ทางรัสเซียดำเนินการบิดเบือนไปจากข้อตกลง ซึ่งสหรัฐฯ จะไม่ยอมเป็นประเทศเดียวในโลกที่ยังคงปฏิบัติตามสนธิสัญญาอยู่ฝ่ายเดียว


    ทางด้านนาย Mike Pompeo, U.S. Secretary of State ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวระบุว่า การที่รัสเซียยังคงละเมิดสนธิสัญญา INT อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชาวยุโรปและชาวอเมริกันหลายล้านคน และทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ในด้านกองกำลังทหารและตัดโอกาสในกาพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันนาง Nancy Pelosi, House Speaker ได้ออกมาประนามการตัดสินใจถอนตัวออกสนธิสัญญา INT ของรัฐบาลว่าก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้ และเป็นการทำลายเสถียรภาพและความมั่งคงระหว่างประเทศ


    Source: BOTSS


    - U.S. to Suspend Obligations Under 1987 Nuclear Treaty With Russia:

    https://www.wsj.com/articles/u-s-to...r-1987-nuclear-treaty-with-russia-11549028592


    - Pompeo announces suspension of nuclear arms treaty with Russia: https://edition.cnn.com/2019/02/01/politics/us-russia-nuclear-arms-treaty-pompeo/index.html
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    410DE754-DB73-497F-863F-0F6A468430D5.jpeg
    (Feb 2) Trump กำลังพิจารณาเสนอชื่อนาย Herman Cain เป็นกรรมการเฟด :หลายสำนักข่าวรายงานว่าประธานาธิบดี Trump กำลังพิจารณาเสนอชื่อนาย Herman Cain อดีตผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2012 เข้ารับตำแหน่ง Federal Reserve Board Governors


    นาย Cain มีประสบการณ์การทำงานให้กับบริษัทเอกชนมาอย่างยาวนาน รวมถึงมีความคุ้นเคยกับการทำงานให้กับธนาคารกลางสหรัฐฯ เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่ง Director, Deputy Chairman และ Chairman ให้กับ Federal Reserve Bank of Kansas City


    สำหรับมุมมองเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงิน นาย Cain ได้เคยเขียนบทความสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อปลายปี 2017 สวนทางกับมุมมองของนาย Trump


    อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา นาย Cain ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg แสดงความกังวลต่อการปรับขึ้นระดับอัตราดอกเบี้ยในเชิง aggressive จนเกินไปของธนาคารกลางสหรัฐฯ จนอาจส่งผลกระทบต่อระดับอัตราเงินเฟ้อ “You can stop inflation faster than you can decelerate in deflation mode.”


    นอกจากนี้ นักวิเคราะห์เกรงว่าในระหว่างกระบวนการรับรองตัวบุคคล จะมีการหยิบยกประเด็นเรื่องการคุกคามทางเพศ รวมถึงเรื่องชู้สาวที่เคยทำให้นาย Cain ต้องยุติแคมเปญการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว


    Source: BOTSS


    - Trump Considering Herman Cain for Federal Reserve Board, Sources Say: https://www.bloomberg.com/news/arti...onsider-herman-cain-for-federal-reserve-board


    เพิ่มเติม

    - Federal Reserve Board of Governors เป็นหน่วยงานกำกับดูแลของธนาคารกลางสหรัฐฯ คณะกรรมการประกอบด้วยสมาชิกเจ็ดคนที่ทำหน้าที่เป็นระยะเวลาสิบสี่ปี ประธานแต่งตั้งพวกเขาและวุฒิสภาสหรัฐอเมริกายืนยันการนัดหมาย Federal Reserve System เป็นผู้รับผิดชอบนโยบายการเงินที่ควบคุมปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ย อาณัติคู่คือการควบคุมภาวะเงินเฟ้อและลดการว่างงาน นอกเหนือจากคณะกรรมการสภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วย 12 ธนาคารกลางสหรัฐและ Federal Open Market Committee ธนาคารเฟดให้บริการแก่ภาคการธนาคารพาณิชย์ของประเทศ FOMC กำหนดนโยบาย อ่านต่อ https://th.routestofinance.com/federal-reserve-board-of-governors-and-its-members
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8770.JPG
    (Feb 2) คอลัมน์ บางขุนพรหมชวนคิด: 'สกุลเงินดิจิทัล' ใกล้ตัวเราแค่ไหน? ครั้งที่แล้วได้คุยถึง "เงินดิจิทัล (Digital Money)" ในประเทศไทย เช่น เงินใน e-Wallet บัตร 7-11 บัตรรถไฟฟ้า ไว้ว่าคนไทยเปิดรับทำให้เติบโตเร็วมาก วันนี้จึงอยากถือโอกาสชวนผู้อ่านคุยเรื่องต่อเนื่องเกี่ยวกับ "สกุลเงินดิจิทัล (Digital Currencies)" ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวแค่ไหน



    สกุลเงินดิจิทัล vs เงินดิจิทัล?ทั้งสองอย่างเหมือนกันตรงคำว่า "ดิจิทัล" ที่จับต้องไม่ได้ แต่มีตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ ความต่างคือ "เงินดิจิทัล" มีเงินสกุลท้องถิ่นหนุนหลัง เช่น ต้องนำเงินบาทมาชำระผู้ให้บริการ e-Money ก่อนใช้ชำระค่าสินค้า จึงมีหน่วยเป็นเงินสกุลท้องถิ่นและมีมูลค่าแน่นอน



    "สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอเรนซี (Cryptocurrency)" เช่น บิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นสกุลเงินใหม่ที่สร้างขึ้นจากกลไกคณิตศาสตร์ที่กำหนดจำนวนไว้จำกัด ต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์ถอดรหัสเพื่อนำเงินออกจากกลไก สกุลเงินใหม่นี้สร้างขึ้นเพื่อลดการรวมศูนย์ของระบบการชำระเงินผ่านสถาบันการเงิน ให้สามารถกระจายไปยังผู้ใช้ในเครือข่ายสกุลเงินนั้นๆ ได้ โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ติดตามการเคลื่อนไหวของเงินแม้จะไม่มีตัวกลางและสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้ด้วย การชำระ/โอนเงินจึงอยู่แค่ภายในเครือข่าย ซึ่งมีข้อดีที่รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และปลอดภัย แต่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังไม่รับรองว่าบรรดาคริปโทเคอเรนซีที่เอกชนสร้างขึ้นมา สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย คริปโทเคอเรนซีจึงทำหน้าที่ของเงินได้ไม่ครบ เพราะยังไม่เป็นสื่อกลางในการชำระเงินและไม่ถูกใช้เป็นหน่วยกำหนดราคาสิ่งของ แถมมูลค่ายังผันผวนมาก แต่ถ้าเป็น "สกุลเงินดิจิทัลที่ธนาคารกลางออกใช้ (Central Bank Digital Currency: CBDC)" จะมีคุณสมบัติของเงินที่ครบถ้วนเพราะมีมูลค่าแน่นอน ใช้แทนสกุลเงินท้องถิ่น (Fiat Money) ได้ตามกฎหมาย



    ทำไมสกุลเงินดิจิทัลจึงเริ่มเป็นที่สนใจ?ความนิยมใช้คริปโทเคอเรนซีอาจเห็นได้ชัดในประเทศที่คนไม่ค่อยเชื่อถือในเงินสกุลท้องถิ่นและไม่มั่นใจในเสถียรภาพระบบการเงินในประเทศ เช่น ประเทศเวเนซุเอลาที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจ เผชิญกับเงินเฟ้อสูงมากเกือบ 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ ในปี 2561 ทำให้เงินโบลีเวีย (Bolevar) ซึ่งเป็นสกุลเงินท้องถิ่น แทบไม่มีค่า คนจึงหนีภาวะเงินเฟ้อในสกุลเงินโบลีเวียและขาดความเชื่อมั่นในการบริหารของรัฐไปถือคริปโทเคอเรนซี แม้รัฐบาลจะออกสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติชื่อ "Petro coin" ที่หนุนหลังด้วยมูลค่าบ่อน้ำมันของรัฐ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จที่จะดึงให้คนกลับมาเชื่อถือในเงินของรัฐได้



    สำหรับเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) โดยทั่วไปจะออกเพื่อ 3 วัตถุประสงค์ [1] คือ

    (1) ไม่ให้เกิดการผูกขาดและลดความเสี่ยงในระบบการชำระเงินจากการพึ่งพาบริการทางการเงินภาคเอกชนมากไป ซึ่งมักเกิดกับประเทศที่คนไม่ค่อยใช้เงินสดแล้ว เช่น สวีเดนที่มีแผนจะออกสกุลเงิน e-Krona

    (2) ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพระบบการชำระเงิน

    (3) เพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงิน ทั้งนี้แต่ละธนาคารกลางอาจกำหนดรูปแบบของ CBDC ต่างกัน โดยเฉพาะการให้ดอกเบี้ยบัญชีเงินฝาก CBDC ที่ธนาคารกลาง (Interest-bearing) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงเศรษฐกิจขาลง โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้ติดลบได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารกลางไม่สามารถทำได้ในสังคมใช้เงินสด เพราะคนสามารถเปลี่ยนไปถือเงินสดแทนการเก็บเงินไว้ในบัญชีเงินฝากแล้วถูกเก็บดอกเบี้ย


    นอกจากนี้ รายงานสำรวจพบว่า ธนาคารกลางส่วนใหญ่ในโลกติดตามการใช้คริปโทเคอเรนซีของคนในประเทศอย่างใกล้ชิดและมีการศึกษา CBDC [2] เตรียมไว้เผื่อต้องออกใช้ แม้มีส่วนน้อยที่มีแผนจะออกใช้จริง โดยให้เหตุผลด้านความมั่นคงและการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินเป็นอันดับแรก และมองเหตุผลด้านนโยบายการเงินเป็นเรื่องรอง



    การใช้สกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทยปัจจุบันการใช้คริปโทเคอเรนซีในไทยเพื่อธุรกรรมชำระเงินยังมีจำกัด และเริ่มมีคนไทยที่ผลิตคริปโทสัญชาติไทยได้ เช่น Zcoin ส่วนนักลงทุนไทยเริ่มรู้จักคริปโทที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดยมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำกับดูแลการขึ้นทะเบียนของผู้ประกอบการซื้อขายคริปโทในไทย และเตือนผู้สนใจลงทุนในคริปโทว่ามีความเสี่ยงสูง ต้องมีความรู้และรับความเสี่ยงที่อาจสูญเงินลงทุนได้



    นอกจากนี้ ธปท.ได้เปิดตัวโครงการอินทนนท์ที่เป็นการทดสอบระบบการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินโดยใช้ CBDC จำลอง (Wholesale CBDC) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงิน และเพิ่งรายงานผลการทดสอบระยะที่ 1 ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 8 แห่งในการโอนเงินระหว่างกันและการบริหารสภาพคล่องในช่วงเดือน ส.ค. 2561-ม.ค.ปีนี้ พบว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการชำระเงินของไทย แต่การจะนำระบบนี้มาใช้งานจริงต้องใช้เวลาทดสอบขีดความสามารถและศึกษาผลกระทบเพิ่มเติม พร้อมประกาศเตรียมทดสอบระยะที่ 2 ตั้งแต่เดือน ก.พ.นี้



    ถึงตอนนี้คงพอบอกได้ว่าสกุลเงินดิจิทัลเริ่มใกล้ตัวคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มองว่าเป็นทางเลือกในการลงทุนและกล้ารับความเสี่ยง ส่วน ธปท.เริ่มเห็นประโยชน์จาก Wholesale CBDC ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการชำระเงินระหว่างสถาบันการเงิน แต่การออก CBDC ให้ประชาชนใช้อาจยังดูไกลตัว ตราบใดที่การใช้คริปโทยังไม่สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน รวมถึงคนไทยยังมั่นใจในการใช้สกุลเงินบาท และความมั่นคงในระบบการชำระเงินของประเทศอยู่



    ** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **


    โดย ดร.ฐิติมา ชูเชิด

    รองผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย


    Source: Posttoday
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8771.JPG
    (Feb 3) ค่าครองชีพกรุงเทพฯ แพงสุด'อันดับ 2 'อาเซียน : ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ของผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมืองหรือสังคมชนบท และเรามักได้ยินคนบ่นกันบ่อยๆว่า ต้นทุนในการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯสูงกว่าคนในจังหวัดอื่นๆ ล่าสุด ผลสำรวจของเว็บไซต์นัมเบโอ ช่วยตอกย้ำว่า สิ่งที่บ่นๆกันเป็นเรื่องจริง มาดูกันว่าเพราะเหตุใดเมืองหลวงของประเทศไทย จึงถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงสุดเป็นอันดับ2ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



    นัมเบโอ เว็บไซต์ ฐานข้อมูลด้านค่าครองชีพที่ใหญ่ที่สุด ในโลก เผยแพร่ดัชนีค่าครองชีพทั่วโลก ปี 2562 โดยคำนวณจากค่าสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าอาหารในร้านอาหาร ค่าเช่าที่พักอาศัย และกำลังซื้อของประชากรในเมือง พบว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับ 216 ของโลก โดยดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 55.72 จุด



    นัมเบโอ ระบุว่า ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ ถูกกว่าในนครนิวยอร์กของสหรัฐ 44.28% ส่วนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรายบุคคล ไม่รวม ค่าเช่าบ้านอยู่ที่ราว 2.1 หมื่นบาท/เดือน ส่วนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของครอบครัวที่มี สมาชิก 4 คน ไม่รวมค่าเช่าบ้าน อยู่ที่ 7.59 หมื่นบาท/เดือน



    สำหรับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ของคนกรุงเทพฯ ในปีนี้ คือค่าอาหาร ในร้านอาหาร ซึ่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30.42 จุด จาก 27.99 จุด เมื่อปีที่ผ่านมา คิดเป็นราคาเฉลี่ยที่ 80 บาท/มื้อ และค่าเช่าที่พักอาศัย เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26.35 จุด จาก 26.21 จุด โดยอพาร์ตเมนต์ 1 ห้องนอน ใจกลางเมือง มีค่าเช่าเฉลี่ยที่ 2.14 หมื่นบาท/เดือน ขณะที่ค่าสินค้าอุปโภคบริโภคลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 58.32 จุด จาก 62.40 จุด



    นัมเบโอ ระบุด้วยว่า ค่าใช้จ่ายทั้ง สองส่วนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อ ของคนกรุงเทพฯ ลดลงมาอยู่ที่ 41.15 จุด จาก 44.94 จุด



    นอกจากนี้ ภูเก็ต พัทยา และเชียงใหม่ ยังติดอยู่ในเมือง 10 อันดับแรกที่มี ค่าครองชีพแพงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน อยู่ที่ 48.85 จุด 45.30 จุด และ 43.42 จุด โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรายบุคคล ไม่รวม ค่าเช่าบ้านใน 3 เมืองดังกล่าวอยู่ที่ 1.8 หมื่นบาท/เดือน 1.7 หมื่นบาท/เดือน และ 1.6 หมื่นบาท/เดือน ตามลำดับ



    หากเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว สิงคโปร์ ถือเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด อยู่ที่ 69.79 จุด ตามด้วยกรุงเทพฯ 55.25 นครย่างกุ้งของเมียนมา 54.85 ซึ่งนัมเบโอ ระบุว่า ค่าครองชีพในนครย่างกุ้งต่ำกว่ากรุงเทพฯ เพียง 0.75% ขณะที่ภูเก็ต 48.84 อยู่ที่อันดับ 4 พัทยา 45.30 อันดับ 6 และเชียงใหม่ 43.42 อันดับ 8 ของภูมิภาค



    ส่วนกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา 47.41 รัฐยะโฮร์ บารู ประเทศมาเลเซีย 43.95 ปีนัง ประเทศมาเลเซีย 42.88 และกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย 41.81



    สำหรับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด ในโลกปีนี้คือ เมืองบาเซิล ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งดัชนีค่าครองชีพ อยู่ที่ 131.37 จุด โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ย รายบุคคลไม่รวมค่าเช่าที่พักอาศัย อยู่ที่ราว 4.94 หมื่นบาท/เดือน



    รองลงมาคือ ซูริคประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 126.87 อันดับ 3 คือ โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดัชนีค่าครองชีพ อยู่ที่ 123.42 อันดับ 4 คือ เบิร์น ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 123.17 อันดับ 5 คือ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 118.87 อันดับ 6 คือ ลูกาโน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดัชนี ค่าครองชีพอยู่ที่ 118.00 อันดับ 7 คือ เมืองสตาแวนเจอร์ ประเทศนอร์เวย์ ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 103.89 อันดับ 8 คือเมืองเรกยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 102.20 อันดับ 9 คือกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ดัชนีค่า ครองชีพอยู่ที่ 101.90 อันดับ 10 คือ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐ ดัชนีค่าครองชีพ อยู่ที่ 100.00



    ขณะที่เมืองที่มีค่าครองชีพแพง ที่สุดในเอเชียอันดับ1คือ กรุงโตเกียว เมืองหลวง ของญี่ปุ่น ซึ่งดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 88.45 จุด โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรายบุคคล ไม่รวมค่าเช่าที่พักอาศัย อยู่ที่ราว 3.5 หมื่นบาท/เดือน อันดับ2 คือกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 82.78 อันดับ 3 คือ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ดัชนีค่าครองชีพ อยู่ที่ 79.49 อันดับ 4 คือ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอลดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่78.46 อันดับ 5 คือ ฮ่องกง ดัชนีค่าครองชีพ อยู่ที่ 78.14 อันดับ 6 คือ นครเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอลดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่74.51 อันดับ7 เมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 73.82 อันดับ 8 เมืองรามัต แกน ประเทศอิสราเอล ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 71.64 อันดับ 9 สิงคโปร์ ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 69.79 และอันดับ 10 คือ นิโคเซีย ประเทศไซปรัส ดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 64.65



    อย่างไรก็ตาม นัมเบโอ ระบุว่า ค่าครองชีพ ในภูมิภาคอาเซียนยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับหลายเมืองในยุโรป รวมถึงนครเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ เมืองบาเซิล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสวิตเซอร์แลนด์



    ผลสำรวจล่าสุดของนัมเบโอ ไม่ใช่เรื่องที่สร้างความประหลาดใจเท่าใดนัก ส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นเพราะมีสัญญาณบ่งชี้มาระยะหนึ่ง แล้วว่า กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย เป็นเมืองหลวงที่มีค่าครองชีพแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมอร์เซอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการสำรวจค่าครองชีพ และที่อยู่อาศัยสำหรับคนที่ต้องการไปทำงานในประเทศต่างๆ ได้จัดอันดับค่าครองชีพ ประเทศต่างๆ ออกมาเป็นประจำทุกปี ระบุว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงที่อยู่ อันดับกลางๆในเรื่องค่าครองชีพ ไม่ได้แพงมาก และไม่ได้ถูกมากเท่าไหร่ ต่างจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง โตเกียว นิวยอร์ก ลอนดอน หรือเซี่ยงไฮ้ ที่มีค่าครองชีพสูงกว่ามาก แต่รายงานของเมอร์เซอร์ก็บอกว่า ค่าครองชีพ ของกรุงเทพฯ ในระยะหลังๆสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง


    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8772.JPG
    (Feb 3) บทความ “เงินเฟ้อไทยในยุคดิจิทัล: 5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย” - ปรากฏการณ์อัตราเงินเฟ้อต่ำต่อเนื่องกำลังเป็นปริศนาสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก เป็นที่น่าประหลาดใจว่าในช่วงที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อในหลาย ๆ ประเทศรวมทั้งประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำใกล้ 0% ถึงแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้วก็ตาม


    ปรากฏการณ์อัตราเงินเฟ้อต่ำต่อเนื่องนี้ อาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเสรีทางการค้าที่ทำให้ตลาดโลกมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น หรือการค้นพบแหล่งพลังงานใหม่จากหินน้ำมัน (shale oil) ที่ทำให้โครงสร้างการผลิตน้ำมันดิบของโลกเปลี่ยนแปลงไป แต่ประเด็นที่ค่อนข้างใหม่และกำลังได้รับความสนใจในช่วงนี้คือ บทบาทของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่อเงินเฟ้อ โดยเฉพาะการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด E-commerce ซึ่งกำลังพลิกโฉมตลาดการค้าปลีก


    บทความ aBRIDGEd นี้ได้ใช้ประโยชน์จากชุดข้อมูลราคาสินค้าออนไลน์ที่มีความละเอียดสูงเพื่อศึกษาพฤติกรรมการตั้งราคาสินค้าออนไลน์และวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจส่งต่อมายังพลวัตเงินเฟ้อไทย


    ผลการศึกษาโดยรวมพบว่า ต้นทุนการค้าที่ลดลงประกอบกับการแข่งขันบนอินเตอร์เน็ตที่เข้มข้นขึ้น มีผลทำให้ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าออนไลน์แตกต่างไปจากสินค้าออฟไลน์ที่จัดเก็บโดยกระทรวงพาณิชย์ นอกจากนี้ การแข่งขันในตลาดที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นตามตลาด e-commerce ที่เติบโต จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าต่ำลง การปรับราคาของสินค้าบ่อยขึ้น และราคาสินค้าชนิดเดียวกันที่ประกาศขายตามร้านค้าต่าง ๆ มีความใกล้เคียงกันมากขึ้น


    โดย ดร.พิม มโนพิโมกษ์ ดร.อัครพัชร์ เจริญพานิช และ คุณชนกานต์ ฤทธินนท์


    Source: PIER FB


    - อ่านบทความ https://www.pier.or.th/wp-content/uploads/2019/01/aBRIDGEd_2019_002.pdf
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8773.JPG
    (Feb 3) บริษัทจีนลดสั่งซื้อสินค้า'เอเชีย-ยุโรป-จีน'ระส่ำหนัก: เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงเริ่มส่งผลกระทบต่อบรรดาหุ้นส่วนในภูมิภาคต่างๆทั้งในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐ ทำให้บริษัทต่างๆในสามภูมิภาคนี้ต้องปรับตัวรับความต้องการสินค้าที่ลดลงจากจีน ส่วนจีน ไม่ได้เผชิญหน้ากับปัญหาความต้องการบริโภคภายในประเทศหดตัวลงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จีนยังแบกรับภาระหนี้สิน ก้อนโต กำลังการผลิตล้นเกิน และการลงทุน ของภาคเอกชนที่ถูกจำกัด ประกอบ สถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าที่ฉุดแรงขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจีนให้ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ



    นักวิเคราะห์จากธนาคารบาร์เคลย์ส คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีน อาจประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังจากดัชนี ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ภาคการผลิตของจีนหดตัวลง โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) เปิดเผยว่า ดัชนีพีเอ็มไอภาคการผลิตเดือนม.ค. อยู่ที่ระดับ 49.5 ซึ่งแม้ว่าขยับขึ้นจากระดับ 49.4 ในเดือนธ.ค. 2561 แต่ดัชนีพีเอ็มไอ ที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนอยู่ในภาวะหดตัว ขณะที่ผลสำรวจที่ไฉซินทำร่วมกับ มาร์กิตระบุว่า ดัชนีพีเอ็มไอ ภาคการผลิตเดือนม.ค.ของจีนอยู่ที่ระดับ 48.3 ในเดือนม.ค. ลดลงจากเดือนธ.ค.ซึ่งอยู่ที่ระดับ 49.7 นอกจากนี้ ดัชนีพีเอ็มไอ ภาคการผลิตเดือนม.ค.ของจีนยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของ นักวิเคราะห์ที่ระดับ 49.6



    บาร์เคลย์ส ระบุว่า จากสถิติพบว่าหากดัชนีพีเอ็มไอ ภาคการผลิตเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 และดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ร่วงลงอย่างหนัก ธนาคารกลางจีนก็มักจะดำเนินการบางอย่างเพื่อพยุงเศรษฐกิจ โดยรายงานของสำนักงานสถิติฯจีนระบุว่า ดัชนีพีพีไอ ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน ขยายตัว 0.9% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.ที่มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 2.7%



    ก่อนหน้านี้ บาร์เคลย์ส คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในไตรมาสแรกปีนี้ และอาจจะปรับลดอีก 0.25% ในไตรมาสที่ 2



    ภาคการผลิตของจีนที่ลดลง ประกอบกับการบริโภคที่อ่อนแรงลงส่งผลต่อปริมาณการสั่งซื้อสินค้าของบริษัทจีนจากบริษัทต่างๆทั่วโลกทั้งในเอเชีย สหรัฐ และยุโรปไปด้วย หลังจากหลายปีที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้หุ้นส่วนจีนกระจายตัวทั่วโลก และในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้ การส่งออกและนำเข้าของจีนมีสัดส่วนราว 1 ใน 5 ของปริมาณนำเข้าและส่งออกทั่วโลก อีกทั้งจีน ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้น ความต้องการของตลาดโลกในช่วงที่เศรษฐกิจในหลายภาคส่วนเริ่มอ่อนแอ อาทิ เศรษฐกิจในยูโรโซน หรือในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินในยูโรโซน



    อ็อกฟอร์ด อีโคโนมิกส์ ระบุว่า ทุกประเทศ ทั่วโลกรับรู้ได้ถึงภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ในจีน ปรับตัวลง ส่งผลให้การส่งออกสินค้าส่วนนี้จากญี่ปุ่นพลอยทรุดตัวลงไป 3.8% ในเดือนธันวาคมจากปีก่อนหน้านี้ ถือเป็นการปรับตัวลงต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ส่วนเยอรมนี เร่งเครื่องอย่างหนักเพื่อเพิ่มการส่งออกไปจีน แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนี ซึ่งถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของยุโรปขยายตัวเพียง 1.5% เมื่อปีที่แล้ว ถือว่าขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี ส่วนการส่งออกไปจีน ของบรรดาชาติเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ซึ่งรวมถึง สหรัฐ และประเทศในอาเซียนลดลงเกือบ 10% ในช่วงปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ ปี 2560



    "ในฐานะที่จีนเป็นชาติเศรษฐกิจ ขนาดใหญ่ การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก"เชน โอลิเวอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก เอเอ็มพี แคปิตัล หน่วยงานด้านการลงทุนชื่อดัง ให้ความเห็น



    การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน สร้างแรงกดดันด้านการแข่งขันไปทั่วภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ขายสินค้าในประเทศไม่ได้ตามเป้า เริ่มหันไปพึ่งตลาดส่งออกเป็นทางออก ส่วนยุโรป ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนถือเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่และไม่ขณะที่เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้กำลังเผชิญปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองและข้อพิพาททางการค้า ขณะที่ในสหรัฐ เริ่มลดปริมาณการส่งออกสินค้าไปจีน ทำให้รายได้ ของบรรดาผู้ประกอบการจีนที่เคยขยายตัว อย่างรวดเร็วซบเซาลงอย่างหนัก



    จีน เป็นตลาดหลักสำหรับผู้ประกอบการอเมริกันจำนวนมาก ซึ่งการชะลอตัวของจีนส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่นกลุ่มบริษัทที่เป็นเหมือนดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจของจีน ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแคทเธอร์ พิลลาร์ อิงค์ และ 3 เอ็ม โคจนถึงบริษัทขนาดเล็กเช่น บริษัทผลิตเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ต่างๆ โดย แคทเทอร์พิลลา เตือนว่า ผลกำไรบริษัทจะลดลง ในปีนี้ เพราะคำสั่งซื้อจากจีนที่ปรับตัวลดลง



    ราคาหุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ดิ่งลงเกือบ 6% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้น วอลล์สตรีทเมื่อวันจันทร์ (28ม.ค.) หลังบริษัทเผยตัวเลขกำไรในไตรมาส 4 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้รับผลกระทบ จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า



    ทั้งนี้ แคทเธอร์ พิลลาร์ ระบุว่า บริษัทมีกำไร 2.55 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.99 ดอลลาร์/หุ้น แต่บริษัทระบุรายได้ที่ระดับ 1.434 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.433 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งราคาหุ้นของแคทเธอร์ พิลลาร์ถือเป็นตัวชี้วัดสภาวะการค้าของ สหรัฐ เนื่องจากมีการลงทุนจำนวนมาก ในต่างประเทศ



    ส่วน3 เอ็ม ปรับลดเป้ากำไรปี 2562 โดยคาดว่า กำไรต่อหุ้นตลอดปี 2562 จะอยู่ที่ 10.45-10.90 ดอลลาร์ ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้คือ 10.60-11.05 ดอลลาร์ ซึ่ง"ไมค์ โรมัน" ซีอีโอของบริษัทสามเอ็ม ระบุว่า กำไรต่อหุ้นที่ลดลงไม่ใช่การถดถอย แต่เป็นปรับลดในช่วงครึ่งแรกของปีเพราะยอดขายในประเทศจีน


    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...