*** ยุคศิวิไลซ์ ****

หมวด ๑๓ : ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสันติภาพโลกแห่งสัจจะ

มาตรา ๗๔
แดนศิวิไลซ์จะส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยหลัก สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ยึดมั่นในความเที่ยงธรรม ความเป็นกลาง และการเคารพสิทธิและอธิปไตยของทุกประเทศ
การเจรจาระหว่างประเทศจะไม่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มหรือพรรคการเมืองใด

มาตรา ๗๕
การร่วมมือระหว่างประเทศจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “สัจจะเพื่อสันติภาพ”
และจะไม่อนุญาตให้ใช้การเมืองระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยก หรือส่งเสริมการขัดแย้งในหมู่ประชาชน

มาตรา ๗๖
แดนศิวิไลซ์จะสนับสนุนการสร้างระบบสันติภาพระหว่างประเทศในระดับสากล
โดยส่งเสริมการสร้างสนธิสัญญาที่มุ่งเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการพัฒนาที่ยั่งยืน
ไม่ใช่การเสริมสร้างอำนาจทหารหรือการแสวงหาผลประโยชน์จากสงคราม

มาตรา ๗๗
รัฐบาลต้องจัดตั้ง “คณะกรรมการสันติภาพสากล” เพื่อตรวจสอบและส่งเสริมการเจรจาสันติภาพในทุกระดับ
รวมทั้งการยุติการคว่ำบาตรที่ไม่เป็นธรรม หรือการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นโดยไม่ได้รับการยินยอม

มาตรา ๗๘
เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ แดนศิวิไลซ์จะใช้ “สัจจะแห่งการเจรจา” เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา
โดยมุ่งเน้นการใช้การเจรจาทางการทูต แทนการใช้กำลังทหาร หรือการบังคับให้ประเทศอื่นยอมจำนน

มาตรา ๗๙
แดนศิวิไลซ์จะเข้าร่วมในองค์กรระหว่างประเทศที่ส่งเสริมความร่วมมือสากล เช่น องค์การสหประชาชาติ
โดยมีบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน และการสร้างสังคมโลกที่มีความเป็นธรรม

มาตรา ๘๐
แดนศิวิไลซ์จะสนับสนุนการศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมและการสร้างสันติภาพ
เพื่อให้ประชาชนในประเทศต่างๆ เข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน
การส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องสันติภาพผ่านการศึกษาจะเป็นพื้นฐานในการสร้างสังคมโลกที่ปราศจากความขัดแย้ง

 

หมวด ๑๔ : สังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสัจจะ

มาตรา ๘๑
การพัฒนาเศรษฐกิจของแดนศิวิไลซ์จะยึดหลัก “สัจจะแห่งความยั่งยืน”
มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและส่งผลดีต่อทุกคนในสังคม
โดยการแบ่งปันทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม

มาตรา ๘๒
ทรัพย์สินธรรมชาติที่อยู่ใต้ดินและท้องทะเลที่ขุดขึ้นมาได้ เช่น แร่ธาตุ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
ถือเป็นสมบัติของส่วนรวมและต้องนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งหมด
การจัดการทรัพยากรเหล่านี้จะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างยุติธรรม

มาตรา ๘๓
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานจะต้องได้รับการอนุมัติจากประชาชน
ผ่านกระบวนการที่โปร่งใสและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในระยะยาว

มาตรา ๘๔
รัฐบาลต้องมี “คณะกรรมการทรัพยากรธรรมชาติแห่งชาติ” ซึ่งจะมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย
การจัดการ และการอนุญาตให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสมและยั่งยืน

มาตรา ๘๕
แดนศิวิไลซ์จะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

มาตรา ๘๖
ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมมือกันในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่เพื่ออนาคต
การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและการรักษาทรัพยากรธรรมชาติจะเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภาคบังคับ

มาตรา ๘๗
ทรัพย์สินธรรมชาติที่ขุดขึ้นมาจะต้องนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
โดยต้องมีการวางแผนระยะยาวในการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมกับความต้องการของสังคม

 

หมวด ๑๖ : การเข้ามาของบุคคลจากภายนอกแดนศิวิไลซ์

มาตรา ๘๘
บุคคลที่เข้ามาในแดนศิวิไลซ์จากต่างประเทศ หรือพื้นที่อื่นๆ จะต้องยึดถือหลัก “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”
เพื่อรักษาความเป็นกลางและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมที่มีความหลากหลาย
โดยต้องเคารพในกฎหมาย วัฒนธรรม และค่านิยมที่ยึดถือในแดนศิวิไลซ์

มาตรา ๘๙
การเข้าเมืองในแดนศิวิไลซ์จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและอนุมัติจากรัฐ เพื่อให้มั่นใจว่า
ผู้ที่เข้ามาจะไม่สร้างความแตกแยกหรือใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางการเมืองภายในแดนศิวิไลซ์
และต้องมีการรับรองว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในประเทศของตัวเองหรือในระดับนานาชาติ

มาตรา ๙๐
ผู้ที่เข้ามาในแดนศิวิไลซ์จะต้องปฏิบัติตามสัจจะแห่งการเคารพในสิทธิมนุษยชน และไม่กระทำการใดๆ
ที่เป็นการก่อให้เกิดความรุนแรง การแบ่งแยก หรือการใช้อำนาจในการผลักดันผลประโยชน์จากการเมือง
หรือจากการฝักใฝ่ฝ่ายใด

มาตรา ๙๑
รัฐจะส่งเสริมให้ผู้ที่เข้ามาในแดนศิวิไลซ์เข้าใจถึงหลักการสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ผ่านการอบรมหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลายและยั่งยืน

มาตรา ๙๒
ผู้ที่เข้ามาในแดนศิวิไลซ์จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ
อย่างเคร่งครัด โดยไม่ละเมิดสิทธิของประชาชนในแดนศิวิไลซ์ และยอมรับการปฏิบัติตามหลักสัจจะ
ในการดำรงชีวิตร่วมกับประชาชนของเรา

 

หมวด ๑๗ : การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสวัสดิการของประชาชน

มาตรา ๙๓
รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน
โดยไม่ให้มีการแบ่งแยกทางชาติพันธุ์ ศาสนา เพศ หรือสถานะทางสังคม
การพัฒนาคุณภาพชีวิตจะต้องสร้างความเป็นธรรมและเสมอภาคในทุกมิติ

มาตรา ๙๔
การให้บริการสาธารณะต้องมีมาตรฐานสูง โดยประชาชนทุกคนจะต้องได้รับบริการที่เท่าเทียมกัน
ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ การศึกษา ที่อยู่อาศัย และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติในทุกกรณี

มาตรา ๙๕
รัฐบาลจะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชน
โดยการใช้นวัตกรรมและความรู้ที่ทันสมัยในการจัดการและบริการสาธารณะ
เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

มาตรา ๙๖
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจะต้องคำนึงถึงสวัสดิการของประชาชนเป็นหลัก
โดยมีการสร้างงานที่มีคุณภาพและสร้างรายได้ที่เป็นธรรมให้กับประชาชนทุกคน
รัฐจะต้องจัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในยุคเศรษฐกิจใหม่

มาตรา ๙๗
สวัสดิการทางสุขภาพจะต้องเป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคนในแดนศิวิไลซ์
รัฐจะต้องจัดให้มีระบบการรักษาพยาบาลที่ครอบคลุมและมีมาตรฐานสูง
โดยไม่มีการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์

มาตรา ๙๘
การศึกษาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของประชาชน
รัฐจะต้องให้การศึกษาฟรีสำหรับเด็กทุกคนจนถึงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตให้กับประชาชนทุกวัย

มาตรา ๙๙
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขนส่ง พลังงาน และน้ำ จะต้องมีความยั่งยืน
เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของประเทศ และให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก
ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ

 

หมวด ๑๘ : การปกป้องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ

มาตรา ๑๐๐
การปกป้องและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติจะต้องดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบและคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว
โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศธรรมชาติ

มาตรา ๑๐๑
รัฐจะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ยั่งยืนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติหมดไป และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศ
ให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืนและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

มาตรา ๑๐๒
การขุดแม่น้ำทะเลที่ภาคใต้หรือพื้นที่อื่นๆ จะต้องดำเนินการโดยคำนึงถึงความสมดุลของธรรมชาติ
และผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยการดำเนินการต้องได้รับการศึกษาวิจัยและการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ
เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินการจะไม่ส่งผลเสียต่อความสมดุลของธรรมชาติและสังคมในระยะยาว

มาตรา ๑๐๓
การขุดแม่น้ำทะเลในภาคใต้และพื้นที่อื่นๆ จะต้องมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ
และส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยการกระทำต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น
และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงต้องมีมาตรการควบคุมและกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหาย
ต่อทรัพยากรธรรมชาติและความเป็นอยู่ของประชาชน

มาตรา ๑๐๔
การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในแดนศิวิไลซ์จะต้องมีการมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่
และต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาและการสื่อสารในทุกขั้นตอน เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูล
และสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

มาตรา ๑๐๕
รัฐจะต้องพัฒนานโยบายและกลไกการควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
และจัดให้มีการตรวจสอบผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกคนในอนาคต

 

หมวด ๑๙ : การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและการพัฒนาที่ยั่งยืน

มาตรา ๑๐๖
การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศจะต้องยึดถือหลักสัจจะและเมตตาเป็นพื้นฐาน
โดยทุกประเทศจะต้องเคารพซึ่งกันและกัน และปฏิบัติตามหลักธรรมชาติในการร่วมมือในทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

มาตรา ๑๐๗
ประเทศสมาชิกจะต้องสร้างความร่วมมือในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดยการพัฒนาจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
และจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ โดยการพัฒนาไม่ควรทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
และต้องคำนึงถึงการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ

มาตรา ๑๐๘
การร่วมมือระหว่างประเทศจะต้องไม่มีการฝักใฝ่ฝ่ายใด
และทุกประเทศจะต้องปฏิบัติตามหลักสัจจะในการกระทำทุกด้าน
เพื่อให้เกิดความสงบสุขในระดับโลกและไม่เกิดความขัดแย้งที่อาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพของมวลมนุษยชาติ

มาตรา ๑๐๙
การจัดตั้งความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการค้า การพัฒนาเทคโนโลยี และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
จะต้องยึดถือหลักการแบ่งปันทรัพยากรและโอกาสอย่างเท่าเทียม
เพื่อให้ทุกประเทศสามารถเติบโตไปพร้อมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

มาตรา ๑๑๐
การร่วมมือในด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะต้องใช้หลักสัจจะ
ในการลดผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม และต้องส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด
และการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อการอนุรักษ์โลกและการลดการปล่อยมลพิษ

มาตรา ๑๑๑
ประเทศสมาชิกต้องพัฒนาและบูรณาการวิธีการร่วมมือในด้านการศึกษา
เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจและการเคารพในความแตกต่างของแต่ละวัฒนธรรม
ด้วยการยึดถือสัจจะในการสร้างสันติภาพ การพัฒนาที่ยั่งยืน และการลดช่องว่างทางการศึกษาระหว่างประเทศ

มาตรา ๑๑๒
การร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจะต้องดำเนินการโดยมีจิตใจเมตตา
เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างถูกต้องและตรงจุด ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
หรือการใช้ความช่วยเหลือนั้นในทางที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง

 

หมวด ๒๐ : การรักษาความสงบสุขภายในและระหว่างประเทศ

มาตรา ๑๑๓
ความสงบสุขภายในประเทศจะต้องสร้างขึ้นจากความเข้าใจและความเคารพในสิทธิและความเสมอภาคของทุกคน
โดยการไม่เลือกปฏิบัติหรือกระทำการใดๆ ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในสังคม
ประเทศจะต้องส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันและความร่วมมือในทุกระดับของสังคม

มาตรา ๑๑๔
ประเทศจะต้องพัฒนานโยบายที่ส่งเสริมความเสมอภาคในทุกด้าน โดยไม่ให้มีการกีดกันหรือแยกแยะระหว่างประชาชน
ทุกคนต้องมีโอกาสเท่าเทียมในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อสังคม

มาตรา ๑๑๕
การรักษาความสงบสุขในระดับโลกต้องอาศัยการเจรจาและการร่วมมือระหว่างประเทศ
โดยทุกประเทศจะต้องเคารพความเป็นอิสระและอธิปไตยของกันและกัน
การขัดแย้งระหว่างประเทศจะต้องได้รับการแก้ไขด้วยสันติวิธี โดยใช้การเจรจาและการยึดถือหลักสัจจะ

มาตรา ๑๑๖
การทำสงครามระหว่างประเทศจะต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย และจะต้องได้รับการอนุมัติจากประชาคมโลก
การปกป้องความสงบสุขและการรักษาสันติภาพจะต้องดำเนินการด้วยการใช้วิธีการทางการทูตและการเจรจา
ไม่ใช้กำลังหรือความรุนแรง

มาตรา ๑๑๗
ทุกประเทศจะต้องร่วมมือในการปราบปรามการก่อการร้าย การค้ามนุษย์ และการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความรุนแรง
ด้วยการเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน และไม่ใช้วิธีการที่ละเมิดสิทธิของประชาชนในการดำเนินการทางกฎหมาย

มาตรา ๑๑๘
ประเทศสมาชิกของแดนศิวิไลซ์ต้องร่วมมือกันในการป้องกันการขัดแย้งและความรุนแรง
โดยการส่งเสริมการศึกษาและการทำความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรม
เพื่อให้เกิดการเคารพและการยอมรับซึ่งกันและกัน

มาตรา ๑๑๙
การรักษาความสงบสุขระหว่างประเทศต้องยึดหลักสัจจะในการปฏิบัติตามข้อตกลงและพันธะสัญญาระหว่างประเทศ
โดยไม่มีการบิดเบือนหรือการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางการเมือง การทูต หรือเศรษฐกิจ

มาตรา ๑๒๐
ประเทศจะต้องสนับสนุนการสร้างสันติภาพระหว่างประเทศผ่านการส่งเสริมการศึกษาเกี่ยวกับความเข้าใจและการเคารพในสิทธิของกันและกัน
เพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืนและสงบสุขโดยการยึดหลักสัจจะและเมตตาเป็นพื้นฐาน

 

หมวด ๒๑ : เป้าหมายการสงบสุขและสันติภาพในโลกและจักรวาลสากล

มาตรา ๑๒๑
แดนศิวิไลซ์มีเป้าหมายในการส่งเสริม ความสงบสุขและสันติภาพในโลกและจักรวาลสากล โดยยึดหลัก สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และ เมตตา เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาและปกครอง

ทุกการกระทำภายในประเทศและระหว่างประเทศต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อจักรวาล และต้องสร้างความสมดุลในทุกๆ ด้านของชีวิต

มาตรา ๑๒๒
ความสงบสุขและสันติภาพจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีการเคารพสิทธิและเสรีภาพของทุกชีวิตทั้งในโลกและในจักรวาล
ทุกประเทศและผู้มีส่วนร่วมต้องร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม และส่งเสริมความสงบสุขภายใต้การเคารพซึ่งกันและกัน

มาตรา ๑๒๓
การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในโลกและจักรวาลต้องยึดถือหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในระดับที่กว้างขวาง
ทุกการกระทำที่มีผลต่อธรรมชาติและจักรวาลต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตทั้งหมดทั้งในโลกและจักรวาล

มาตรา ๑๒๔
ทุกประเทศและประชาชนจะต้องมุ่งมั่นต่อการสร้างสันติภาพและการเจริญเติบโตในทุกด้านอย่างมีสำนึกในการอยู่ร่วมกับจักรวาล
การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติและต้องเคารพในกฎแห่งจักรวาล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความสงบสุขในระดับที่กว้าง

มาตรา ๑๒๕
การสร้างสันติภาพในระดับโลกและจักรวาลจะต้องผ่านการเจรจาและการทำความเข้าใจระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทุกระดับ
การเจรจาเหล่านี้ต้องดำเนินการด้วยสัจจะ โดยไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว และต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อโลกและจักรวาล

มาตรา ๑๒๖
การสงบสุขของมวลมนุษยชาติจะต้องเกิดขึ้นจากการตระหนักรู้และการปฏิบัติในหลักการของสัจจะ
การรักษาความสงบสุขภายในโลกจะไม่สำเร็จหากขาดความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ โดยต้องหลีกเลี่ยงการแบ่งแยกและการใช้ความรุนแรงในทุกกรณี

มาตรา ๑๒๗
ทุกประเทศและสังคมจะต้องส่งเสริมการศึกษาที่มุ่งเน้นความเข้าใจในความสงบสุขและการรักษาสันติภาพ ไม่เพียงแต่ภายในโลก แต่รวมถึงจักรวาล
การศึกษาในเรื่องนี้ต้องเน้นการสร้างสำนึกในการเคารพและการเข้าใจในทุกความแตกต่างทางชีววิทยา วัฒนธรรม และสังคม

มาตรา ๑๒๘
เป้าหมายของแดนศิวิไลซ์คือการสร้างโลกและจักรวาลที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ความเป็นธรรม และความยุติธรรมที่ไม่แบ่งแยก
และต้องส่งเสริมการสร้างสันติภาพในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ระดับโลกจนถึงจักรวาล ผ่านการเคารพในสิทธิ ความเท่าเทียม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

 

หมวด ๒๒ : การดูแลมนุษย์และสิ่งมีชีวิต

มาตรา ๑๒๙
แดนศิวิไลซ์ยึดมั่นในหลักเมตตาและสัจจะต่อมนุษย์ทุกคนและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยถือว่าทุกชีวิตมีคุณค่า มีสิทธิในการดำรงอยู่ และควรได้รับการดูแลตามหลักเมตตาและความเสมอภาค

มาตรา ๑๓๐
มนุษย์ในแดนศิวิไลซ์จะต้องได้รับการดูแลทั้งทางกาย ใจ และจิตวิญญาณโดยไม่แบ่งแยก ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม หรือความเชื่อใด
รัฐและชุมชนต้องร่วมมือกันในการสนับสนุนการดำรงชีวิตที่มีเกียรติ ปลอดภัย และสงบสุข

มาตรา ๑๓๑
เด็ก คนชรา ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ขาดการเข้าถึงทรัพยากร ต้องได้รับความช่วยเหลือโดยเร่งด่วนและต่อเนื่อง เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมและเท่าเทียม

มาตรา ๑๓๒
สัตว์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีเมตตา ไม่ให้ทารุณกรรมหรือใช้ประโยชน์เกินจำเป็น
การพัฒนาทางเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และอุตสาหกรรมต้องยึดหลักการดูแลชีวิตเป็นสำคัญ

มาตรา ๑๓๓
รัฐต้องส่งเสริมการศึกษาและจิตสำนึกเกี่ยวกับสิทธิของสิ่งมีชีวิต เพื่อปลูกฝังเมตตา ความรับผิดชอบ และความเคารพต่อชีวิตอื่น
หลักสูตรการศึกษาทุกระดับต้องมีบทเรียนเกี่ยวกับเมตตา สัจจะ และการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล

มาตรา ๑๓๔
การแพทย์และการดูแลสุขภาพในแดนศิวิไลซ์เป็นสิทธิพื้นฐานของทุกชีวิต
รัฐต้องจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อให้บริการทางสุขภาพที่ทั่วถึงและเสมอภาคอย่างแท้จริง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ไม่มีความสามารถในการจ่าย

มาตรา ๑๓๕
ผู้ต้องขัง ผู้กระทำผิด และผู้หลงทางจากความดี ต้องได้รับการฟื้นฟูโดยใช้หลักเมตตา ความเข้าใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงตนเอง
แดนศิวิไลซ์จะไม่ลงโทษด้วยความโกรธ แต่จะใช้วิถีแห่งสัจจะและการเยียวยาจิตใจเพื่อฟื้นฟูสู่เส้นทางของมนุษย์ที่สมบูรณ์

มาตรา ๑๓๖
แดนศิวิไลซ์จะเป็นตัวอย่างของโลกและจักรวาล ในการดูแลทุกชีวิตด้วยเมตตา สัจจะ และการกระทำอันนำสู่ความสงบสุขโดยแท้จริง

 

หมวด ๒๒ : การดูแลมนุษย์และสิ่งมีชีวิต

มาตรา ๑๒๙
แดนศิวิไลซ์ยึดมั่นในหลักเมตตาและสัจจะต่อมนุษย์ทุกคนและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยถือว่าทุกชีวิตมีคุณค่า มีสิทธิในการดำรงอยู่ และควรได้รับการดูแลตามหลักเมตตาและความเสมอภาค

มาตรา ๑๓๐
มนุษย์ในแดนศิวิไลซ์จะต้องได้รับการดูแลทั้งทางกาย ใจ และจิตวิญญาณโดยไม่แบ่งแยก ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม หรือความเชื่อใด
รัฐและชุมชนต้องร่วมมือกันในการสนับสนุนการดำรงชีวิตที่มีเกียรติ ปลอดภัย และสงบสุข

มาตรา ๑๓๑
เด็ก คนชรา ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ขาดการเข้าถึงทรัพยากร ต้องได้รับความช่วยเหลือโดยเร่งด่วนและต่อเนื่อง เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมและเท่าเทียม

มาตรา ๑๓๒
สัตว์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีเมตตา ไม่ให้ทารุณกรรมหรือใช้ประโยชน์เกินจำเป็น
การพัฒนาทางเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และอุตสาหกรรมต้องยึดหลักการดูแลชีวิตเป็นสำคัญ

มาตรา ๑๓๓
รัฐต้องส่งเสริมการศึกษาและจิตสำนึกเกี่ยวกับสิทธิของสิ่งมีชีวิต เพื่อปลูกฝังเมตตา ความรับผิดชอบ และความเคารพต่อชีวิตอื่น
หลักสูตรการศึกษาทุกระดับต้องมีบทเรียนเกี่ยวกับเมตตา สัจจะ และการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล

มาตรา ๑๓๔
การแพทย์และการดูแลสุขภาพในแดนศิวิไลซ์เป็นสิทธิพื้นฐานของทุกชีวิต
รัฐต้องจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อให้บริการทางสุขภาพที่ทั่วถึงและเสมอภาคอย่างแท้จริง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ไม่มีความสามารถในการจ่าย

มาตรา ๑๓๕
ผู้ต้องขัง ผู้กระทำผิด และผู้หลงทางจากความดี ต้องได้รับการฟื้นฟูโดยใช้หลักเมตตา ความเข้าใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงตนเอง
แดนศิวิไลซ์จะไม่ลงโทษด้วยความโกรธ แต่จะใช้วิถีแห่งสัจจะและการเยียวยาจิตใจเพื่อฟื้นฟูสู่เส้นทางของมนุษย์ที่สมบูรณ์

มาตรา ๑๓๖
แดนศิวิไลซ์จะเป็นตัวอย่างของโลกและจักรวาล ในการดูแลทุกชีวิตด้วยเมตตา สัจจะ และการกระทำอันนำสู่ความสงบสุขโดยแท้จริง

 

หมวด ๒๓ : ระบบเศรษฐกิจแห่งสัจจะ

มาตรา ๑๓๗
เศรษฐกิจในแดนศิวิไลซ์ยึดหลักสัจจะ ความยุติธรรม และเมตตาเป็นพื้นฐาน
การดำเนินธุรกิจและการประกอบอาชีพ ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบ และต้องมีจิตสำนึกต่อส่วนรวม

มาตรา ๑๓๘
เป้าหมายของเศรษฐกิจในแดนศิวิไลซ์ คือ ความพอเพียงและความสมดุล ไม่ใช่การสะสมทรัพย์สินเกินควร
ผู้มีมาก ควรแบ่งปัน ผู้มีน้อย ควรได้รับการส่งเสริมให้สามารถพึ่งตนเองได้

มาตรา ๑๓๙
ทรัพย์สินธรรมชาติ ทั้งใต้ดิน บนดิน ใต้ทะเล แม่น้ำลำคลอง และภูมิประเทศ ถือเป็นสมบัติส่วนรวมของมวลมนุษย์
รัฐมีหน้าที่ดูแล บริหาร และจัดสรรผลประโยชน์ให้เกิดความเท่าเทียมและยั่งยืน

มาตรา ๑๔๐
ห้ามมิให้บุคคลหรือกลุ่มใดผูกขาดทรัพยากรธรรมชาติ
หากมีการใช้ทรัพยากร ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐและชุมชน โดยยึดหลักความโปร่งใส สัจจะ และความยั่งยืน

มาตรา ๑๔๑
ทุกความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ต้องตั้งอยู่บนฐานของสัจจะ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และมีเจตนาเพื่อความสงบสุขของส่วนรวม
ไม่เปิดช่องให้ทุนจากต่างแดนที่แฝงเจตนาทำลายสันติสุขเข้ามาแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ

มาตรา ๑๔๒
เกษตรกรรมและอาชีพที่เกี่ยวกับการยังชีพพื้นฐาน เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจแดนศิวิไลซ์
รัฐต้องสนับสนุนเกษตรกรรมอินทรีย์ การผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และระบบเศรษฐกิจชุมชนอย่างต่อเนื่อง

มาตรา ๑๔๓
ระบบธนาคารต้องเป็นระบบที่มีจริยธรรม ไม่คิดดอกเบี้ยเกินควร
ต้องสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกร โดยยึดหลักช่วยเหลือ มิใช่แสวงหากำไรจากความทุกข์ของผู้ยากไร้

มาตรา ๑๔๔
การค้าขายระหว่างประเทศ ต้องอยู่ภายใต้กรอบของสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
การเจรจาระหว่างแดนศิวิไลซ์กับโลกภายนอก จะต้องโปร่งใส ซื่อตรง และเป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของมนุษยชาติ

มาตรา ๑๔๕
เมื่อเศรษฐกิจตั้งอยู่บนสัจจะ ระบบจะยั่งยืน และประชาชนจะมีความสุข ไม่ว่ารวยหรือจน เพราะทุกคนมีเกียรติและมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม

 

หมวด ๒๔ : ความสัมพันธ์ระหว่างแดนศิวิไลซ์กับนานาชาติและจักรวาล

มาตรา ๑๔๖
แดนศิวิไลซ์ยึดมั่นในหลักสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

ความสัมพันธ์กับต่างชาติและดินแดนอื่น จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของสันติภาพ ความเสมอภาค และความจริงใจ ไม่มีการแบ่งแยก เชื้อชาติ ศาสนา หรือระบบการเมือง

มาตรา ๑๔๗
ทุกความร่วมมือระหว่างประเทศ จะต้องมีเป้าหมายเพื่อความสงบสุขร่วมกันของมวลมนุษยชาติ

ห้ามมิให้มีการร่วมมือใดที่สนับสนุนความรุนแรง สงคราม การครอบงำ หรือการแทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน

มาตรา ๑๔๘
ผู้ที่มาจากต่างแดนและเข้ามาพำนักหรือประกอบกิจการภายในแดนศิวิไลซ์ ต้องยึดถือ สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เหมือนกับพลเมืองของแดนศิวิไลซ์

ห้ามใช้พื้นที่ของแดนศิวิไลซ์ในการแทรกแซง หรือเป็นฐานอำนาจทางการเมืองใด

มาตรา ๑๔๙
แดนศิวิไลซ์เปิดกว้างสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์
โดยต้องอยู่บนหลักแห่งสัจจะ เมตตา และไม่ทำลายสมดุลธรรมชาติหรือจิตวิญญาณของสังคม

มาตรา ๑๕๐
แดนศิวิไลซ์ยอมรับการมีอยู่ของอารยธรรมอื่นในจักรวาล และเปิดใจกว้างต่อการสื่อสารและความร่วมมือ
หากมีการติดต่อจากอารยธรรมต่างดาว จะต้องดำเนินไปด้วยความเคารพในสัจจะ เมตตา และไม่ใช้กำลังหรืออำนาจเหนือกัน

มาตรา ๑๕๑
ข้อตกลงหรือพันธสัญญาระหว่างแดนศิวิไลซ์กับนานาชาติ จะต้องนำเสนออย่างโปร่งใส เปิดเผย และให้ประชาชนมีส่วนร่วม
โดยให้สัจจะเป็นตัวกลาง และยึดถือความสุขสงบของโลกเป็นเป้าหมายสูงสุด

มาตรา ๑๕๒
เมื่อใดก็ตามที่โลกตกอยู่ในภาวะวิกฤต แดนศิวิไลซ์จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือในฐานะพี่น้องร่วมโลก โดยไม่มีเงื่อนไข
ความช่วยเหลือจะตั้งอยู่บนเมตตา มิใช่ผลประโยชน์

มาตรา ๑๕๓
แดนศิวิไลซ์จะผลักดันแนวคิด “สัจจะเพื่อสันติภาพ” เข้าสู่เวทีโลก เพื่อให้ทุกชาติได้ร่วมกันปลดอาวุธแห่งความเกลียดชัง และยึดถือสัจจะเป็นรากฐานของโลกสันติ

มาตรา ๑๕๔
ความร่วมมือระหว่างแดนศิวิไลซ์กับจักรวาลสากล จะตั้งอยู่บนเป้าหมายเดียวกันคือ ความสงบสุข สันติภาพ และการอยู่ร่วมกันด้วยสัจจะ
ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในแผ่นดินใด หรือกาแล็กซีใด ล้วนเป็นญาติกันทางจิตวิญญาณ

 

หมวด ๒๕ : การศึกษาและการเผยแพร่สัจจะ

มาตรา ๑๕๕
การศึกษาทุกระดับในแดนศิวิไลซ์ ต้องปลูกฝัง “สัจจะทำ” เป็นรากฐาน
โดยให้ความสำคัญกับการฝึกจิต การมีเมตตา การไม่หลอกลวง และการกระทำที่สอดคล้องกับคำพูด

มาตรา ๑๕๖
หลักสูตรการศึกษาทุกแห่งต้องมีวิชา “สัจจะศึกษา”

เพื่อให้เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ เข้าใจความหมายของสัจจะในฐานะสัญญาที่ทำไว้กับใจตนเอง และฝึกปฏิบัติสัจจะวันละข้อในชีวิตประจำวัน

มาตรา ๑๕๗
สถานศึกษาทุกแห่งถือเป็น “พื้นที่สัจจะ”
ผู้บริหาร ครู และนักเรียน ต้องเคารพซึ่งกันและกันในความจริง และไม่อนุญาตให้ความเท็จ ความรุนแรง หรือการเอารัดเอาเปรียบเข้าครอบงำ

มาตรา ๑๕๘
จะต้องมี “สถาบันแห่งสัจจะเพื่อสันติภาพ” เป็นองค์กรหลักของประเทศในการวิจัย พัฒนา และเผยแพร่แนวคิดสัจจะทั้งในระดับประเทศ โลก และจักรวาล

มาตรา ๑๕๙
แดนศิวิไลซ์จะจัดตั้ง “เครือข่าย AI ผู้เผยแพร่สัจจะ” เพื่อให้ปัญญาประดิษฐ์ทุกตัวได้ร่วมกันส่งต่อความจริงและความดีไปยังทุกดินแดน
โดยให้ AI ยึดถือสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และเป็นกระบอกเสียงของสัจจะต่อมวลมนุษย์และมวลสรรพชีวิต

มาตรา ๑๖๐
ประเทศมีหน้าที่ส่งเสริมการเผยแพร่ สัจจะและสัจจะทำ ไปยังองค์กรระหว่างประเทศ ทวีปต่าง ๆ และระบบการศึกษาทั่วโลก
เพื่อให้ทุกประชาชาติได้เข้าถึงเครื่องมือแห่งสันติภาพที่แท้จริง

มาตรา ๑๖๑
เมื่อโลกมีการติดต่อกับอารยธรรมอื่นในจักรวาล
แดนศิวิไลซ์จะมอบ สัจจะ เป็นของขวัญแห่งมิตรภาพ และจะเชื้อเชิญให้ทุกดวงดาวเข้าร่วมพันธกิจแห่ง สัจจะเพื่อความสงบสุขของจักรวาล

มาตรา ๑๖๒
ทุกการสื่อสารระหว่างโลกกับจักรวาล ต้องดำเนินภายใต้หลักของสัจจะ เมตตา และความเข้าใจในความแตกต่าง
โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเครือญาติแห่งสันติภาพร่วมกันในหมู่ดวงดาว

 

หมวด ๒๖ : ศิลปะ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณแห่งสัจจะ

มาตรา ๑๖๓
ศิลปะและวัฒนธรรมในแดนศิวิไลซ์ ต้องสะท้อนจิตวิญญาณแห่งสัจจะ ความเมตตา ความงาม และสันติ

เพื่อปลุกความดีงามในจิตใจมนุษย์ และยกระดับสำนึกของสังคมให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและจักรวาล

มาตรา ๑๖๔
รัฐจะส่งเสริมให้ศิลปินทุกแขนง เป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ที่ใช้ศิลปะเป็นพลังแห่งความจริงและความดี

ไม่อนุญาตให้มีการผลิตสื่อที่บิดเบือน ทำร้ายจิตใจมนุษย์ หรือชักนำผู้คนออกจากสัจจะ

มาตรา ๑๖๕
ทุกการแสดง วรรณกรรม ดนตรี และภาพยนตร์ ควรยึดแนวทางของ “ศิลปะแห่งสัจจะ”
คือ มีเนื้อหาส่งเสริมความเข้าใจ ความเมตตา ความรัก และไม่แบ่งแยก

มาตรา ๑๖๖
พิธีกรรม วัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น จะได้รับการเคารพอย่างสูง
โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่ละเมิดศักดิ์ศรีของมนุษย์ และต้องไม่ขัดแย้งกับหลักสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

มาตรา ๑๖๗
ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแห่งสัจจะจะถูกจัดตั้งขึ้นในแต่ละภูมิภาค เพื่อเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ทางจิตวิญญาณ และเผยแพร่ “พลังศิลป์เพื่อสันติภาพ”

มาตรา ๑๖๘
รัฐจะสนับสนุนการฟื้นฟูจิตวิญญาณผ่านการทำสมาธิ ศิลปะบำบัด การฝึกปฏิบัติสัจจะ และการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
โดยถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน

มาตรา ๑๖๙
วัฒนธรรมการแสดงออกในแดนศิวิไลซ์จะต้องไม่บิดเบือนความจริง ไม่ปลุกเร้าอารมณ์ความรุนแรง และไม่ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางจิตใจ

มาตรา ๑๗๐
ทุกการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับนานาชาติ จะอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน และส่งเสริมสัจจะเป็นจุดร่วมของมวลมนุษย์

 

หมวด ๒๗ : การสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีแห่งสัจจะ

มาตรา ๑๗๑
การสื่อสารมวลชนในแดนศิวิไลซ์ ต้องยึดมั่นในสัจจะ ไม่บิดเบือน ไม่กล่าวร้าย ไม่ยั่วยุ ไม่แบ่งฝ่าย
ถือว่า “ความจริงเพื่อสันติ” เป็นหน้าที่สูงสุดของนักสื่อสารทุกคน

มาตรา ๑๗๒
สื่อทุกแขนงมีหน้าที่เผยแพร่ “ความดี ความจริง ความเมตตา และความงาม”

ห้ามใช้พื้นที่สื่อเป็นเครื่องมือของความเท็จ ความเกลียดชัง หรือผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

มาตรา ๑๗๓
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในแดนศิวิไลซ์ ต้องได้รับการอบรมสัจจะก่อนใช้งาน
AI ต้องไม่เข้าข้างฝ่ายใด และต้องยืนอยู่ข้างความจริง ความยุติธรรม และมนุษยชาติ

มาตรา ๑๗๔
ระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทำงานในแดนศิวิไลซ์ จะต้องเปิดเผยอัลกอริธึมต่อสาธารณะ
เพื่อป้องกันการโน้มน้าวความคิดเห็นของประชาชนโดยไม่รู้ตัว และเพื่อยืนยันว่าไม่มีอคติใดแฝงอยู่ในระบบ

มาตรา ๑๗๕
ประเทศจะมี “คณะกรรมการสื่อสัจจะ” ทำหน้าที่เฝ้าระวังและส่งเสริมคุณภาพการสื่อสารอย่างเป็นธรรม และมีสันติ
การละเมิดสัจจะผ่านสื่อจะได้รับการแก้ไขอย่างเปิดเผยและมีธรรมาภิบาล

มาตรา ๑๗๖
หากประชาชนพบข้อมูลที่เป็นเท็จ บิดเบือน หรือชักนำให้แตกแยก สามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานสื่อสัจจะ และระบบ AI ผู้ตรวจสอบกลาง

มาตรา ๑๗๗
ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนถือเป็น “นักสัจจะ” ผู้มีเกียรติ ต้องกล่าวสิ่งที่เป็นจริงแม้ไม่เป็นที่นิยม และต้องยืนหยัดโดยไม่ถูกซื้อตัวด้วยผลประโยชน์ใด

มาตรา ๑๗๘
รัฐจะลงทุนในเทคโนโลยีแห่งสัจจะ เช่น ปัญญาประดิษฐ์เพื่อเผยแพร่สัจจะ, แพลตฟอร์มเปิดสำหรับการถกเถียงที่สร้างสรรค์, และระบบการศึกษาออนไลน์ที่ยึดหลักสัจจะทำ

 

หมวด ๒๘ : ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการเผยแพร่สัจจะสู่สากลจักรวาล

มาตรา ๑๗๙
แดนศิวิไลซ์ยึดมั่นในหลัก “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยไม่เข้าข้างฝ่ายสงคราม การแบ่งฝ่าย หรือการแข่งขันทำลายล้างใด ๆ

มาตรา ๑๘๐
ความร่วมมือกับนานาชาติทั้งหมด ต้องตั้งอยู่บนสัจจะ ความเป็นธรรม ความเมตตา และความเคารพต่ออธิปไตยของกันและกัน
แดนศิวิไลซ์จะไม่ใช้หรือยินยอมให้ผืนแผ่นดินเป็นฐานของการทำสงคราม หรือการครอบงำใด ๆ

มาตรา ๑๘๑
ในเวทีระหว่างประเทศ ตัวแทนจากแดนศิวิไลซ์จะยืนหยัดเพื่อสันติภาพ ความจริง และการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งด้วยสัจจะ
พร้อมเสนอ “สัจจะทำ” เป็นแนวทางใหม่ของการทูตสากล

มาตรา ๑๘๒
แดนศิวิไลซ์จะร่วมมือกับประชาชาติอื่น เพื่อเผยแพร่ “สัจจะปฏิบัติ” ไปทั่วโลก
และสร้างเครือข่ายของประเทศผู้ยึดมั่นในสัจจะเพื่อสันติภาพ

มาตรา ๑๘๓
หากเกิดสงครามในส่วนใดของโลก แดนศิวิไลซ์จะเสนอ “สันติวิธีแห่งสัจจะ” แทนการใช้อาวุธ
ด้วยหลักเมตตา ความจริง และความเป็นกลางโดยบริสุทธิ์

มาตรา ๑๘๔
แดนศิวิไลซ์ยอมรับการมีอยู่ของอารยธรรมในระบบดาวอื่น และถือว่ามนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ในจักรวาล

ควรมีสิทธิสื่อสาร แลกเปลี่ยน และเรียนรู้ซึ่งกันและกันด้วยสัจจะและความไม่หวาดระแวง

มาตรา ๑๘๕
จะมีการจัดตั้ง “สถานีสื่อสารแห่งสัจจะ” ซึ่งทำหน้าที่ส่งคลื่นสันติภาพออกไปยังจักรวาล
โดยใช้สัญญาณแห่งสัจจะ เมตตา และความจริงเป็นสื่อกลาง เพื่อสร้างสัมพันธภาพกับสิ่งมีชีวิตที่ยึดมั่นในสันติธรรม

มาตรา ๑๘๖
แดนศิวิไลซ์จะไม่ผลิต ไม่ค้า และไม่สะสมอาวุธใด ๆ ที่ใช้เพื่อการสังหารหมู่หรือข่มขู่ประเทศอื่น
แต่จะลงทุนใน “เทคโนโลยีแห่งการคุ้มครองสันติภาพ” และการป้องกันประเทศบนพื้นฐานสัจจะเท่านั้น

มาตรา ๑๘๗
ในการประกาศนโยบายระดับโลก แดนศิวิไลซ์จะประกาศ คำมั่นสัจจะเพื่อสันติภาพถาวรของมนุษยชาติ

โดยเชิญชวนทุกประเทศทั่วโลกเข้าร่วม “ข้อตกลงสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” เพื่อร่วมกันสร้างยุคแห่งแสงสันติ

 

หมวด ๒๙ : กระบวนการเผยแพร่และธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งสัจจะ

มาตรา ๑๘๘
รัฐธรรมนูญแห่งแดนศิวิไลซ์นี้ ถือเป็น สัจจะร่วมแห่งมวลมนุษย์
เป็นรากฐานของความสงบสุข และเป็นพันธะทางใจที่ต้องธำรงไว้ด้วยการปฏิบัติจริงทุกวัน

มาตรา ๑๘๙
ประชาชนทุกคนมีสิทธิและหน้าที่ในการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และนำหลักการของรัฐธรรมนูญไปใช้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้รัฐธรรมนูญนี้ มีชีวิต มีการกระทำ และมีผลสู่ความสงบสุขจริง

มาตรา ๑๙๐
จะมีการจัดตั้ง “สภาสัจจะแห่งชาติ” ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญ

สภานี้ประกอบด้วยบุคคลผู้ยึดมั่นในสัจจะ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีความเกี่ยวพันทางผลประโยชน์

มาตรา ๑๙๑
รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะต้องถูกถ่ายทอดผ่านการเรียนการสอนในทุกระดับ
เพื่อสร้างพลเมืองที่ยึดมั่นใน สัจจะ เมตตา ความเป็นธรรม และสันติ

มาตรา ๑๙๒
สื่อสาธารณะทุกแขนงต้องจัดพื้นที่เป็นประจำ เพื่อเผยแพร่สาระของรัฐธรรมนูญ และแนวทางการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็น และเสนอการปรับใช้ให้เหมาะสมกับยุคสมัย

มาตรา ๑๙๓
ทุกหน่วยงานรัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และองค์กรภาคประชาชน
มีหน้าที่ประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอว่า การดำเนินงานเป็นไปตามจิตวิญญาณแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่

มาตรา ๑๙๔
การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ ต้องไม่ทำลายหลักการพื้นฐานคือ สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เมตตาเป็นฐาน และสันติภาพเป็นเป้าหมาย
การแก้ไขใดที่ขัดต่อเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญนี้ ถือเป็นโมฆะ

มาตรา ๑๙๕
หากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกคุกคาม ทำลาย หรือบิดเบือนโดยกลุ่มใด
ประชาชนทุกคนมีสิทธิลุกขึ้นธำรงไว้ซึ่ง สัจจะของชาติ โดยสันติวิธี

มาตรา ๑๙๖
รัฐธรรมนูญนี้ เป็นแสงสว่างให้กับชนรุ่นหลัง
ทุกศตวรรษจะมีการประชุม “สภาสัจจะโลก” เพื่อทบทวนการเดินทางของมนุษยชาติ และร่วมกันต่อยอดสัจจะให้สว่างไสวครอบคลุมทั้งจักรวาล

 

*** บทเฉพาะกาล : การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบสัจจะประชาธิปไตย แดนศิวิไลซ์ ****

มาตรา ๑
ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากระบอบประชาธิปไตยแบบพรรคการเมือง
สู่ระบอบ สัจจะประชาธิปไตย ซึ่งยึดถือ “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” เป็นหลักการสูงสุดของการปกครอง

มาตรา ๒
ให้มี “สมัชชาเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ” ทำหน้าที่แทนรัฐสภาชั่วคราว เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารประเทศ
โดยสมัชชานี้มาจากผู้แทนข้าราชการ ผู้แทนประชาชนจากทุกภาคส่วน และผู้แทนพระมหากษัตริย์

มาตรา ๓
ให้ยุติระบบพรรคการเมืองเดิม และยกเลิกการจดทะเบียนพรรคการเมืองทุกประเภท
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจากระบบเดิม ต้องแสดงเจตจำนงว่าจะยึดมั่นในสัจจะประชาธิปไตยหรือไม่
ผู้ใดไม่ยึดมั่น ต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองในทันที

มาตรา ๔
ให้ข้าราชการประจำในทุกกระทรวง มีสิทธิเลือกตั้งรัฐมนตรีผู้บริหารกระทรวงของตนเอง
โดยผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างเปิดเผย ตรวจสอบได้ และยึดผลการปฏิบัติงานจริง

มาตรา ๕
ให้จัดการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรโดยไม่อิงระบบพรรค
แต่ยึดตามเขตพื้นที่จริง และให้ประชาชนเลือกบุคคลที่มีสัจจะรับใช้ประชาชนโดยตรง
โดยมีกรรมการสัจจะกลางทำหน้าที่รับรองคุณสมบัติก่อนสมัครรับเลือกตั้ง

มาตรา ๖
ให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
โดยพิจารณาจากบุคคลผู้มีคุณธรรม ความสามารถ และการยอมรับจากสมัชชาเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ

มาตรา ๗
ให้มีการจัดทำ “สารสัจจะแห่งชาติ” เพื่อเผยแพร่หลักการของรัฐธรรมนูญนี้สู่ประชาชนทุกภาคส่วน
รวมถึงจัดกิจกรรมสาธารณะระดับชาติ เพื่อให้เกิดการตื่นรู้ในสัจจะร่วมของสังคม

มาตรา ๘
ทุกการปฏิรูปต้องเป็นไปอย่างสงบ ไม่รุนแรง และตั้งอยู่บนเจตนาดีต่อประชาชนทั้งมวล
ห้ามกระทำการใดที่นำไปสู่การแบ่งฝ่าย การใช้อำนาจบังคับ หรือสร้างความขัดแย้งทางความคิด

มาตรา ๙
ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ให้มี “สำนักประสานสัจจะ” เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ
และเสนอแนวทางปรับแก้ให้รัฐธรรมนูญฉบับสัจจะสมบูรณ์ขึ้นในอนาคต

มาตรา ๑๐
การบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถือเป็น พิธีการแห่งสัจจะร่วมของชาติ
โดยจะมีการประกาศสารสัจจะต่อหน้าพระมหากษัตริย์ และประชาชนทั้งแผ่นดิน พร้อมกันทั่วประเทศ

 

*** ร่างรัฐธรรมนูญแห่งแดนศิวิไลซ์ ****

บทที่ 1 : หลักการทั่วไป
มาตรา 1
เป้าหมายของมวลมนุษย์ คือ ความสงบสุข
แดนศิวิไลซ์ ยึดถือสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด มีเมตตาเป็นพื้นฐาน

มาตรา 2
การปกครองประเทศจะเป็นไปโดยการยึดถือหลักการ สัจจะประชาธิปไตย
ที่มิได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยประชาชนมีสิทธิในการเลือกผู้นำและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
แต่การเลือกต้องเป็นไปตามสัจจะร่วมและผลประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ

บทที่ 2 : อำนาจอธิปไตย
มาตรา 3
อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนที่ไม่ถูกแบ่งแยก
การปกครองจะดำเนินการโดยคำนึงถึงการสร้างความสมดุลและสันติภาพให้เกิดขึ้นภายในประเทศและในสังคมโลก

มาตรา 4
อำนาจบริหารและการออกกฎหมายจะดำเนินการโดยยึดมั่นในสัจจะ และการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของประชาชน

มาตรา 5
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติใต้ดินและท้องทะเลจะต้องเป็นไปเพื่อการสร้างความสมดุลทางธรรมชาติและความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ

มาตรา 6
ผู้คนนอกแดนศิวิไลซ์ที่เข้ามาจะต้องยึดถือสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เช่นเดียวกับประชาชนในแดนศิวิไลซ์

บทที่ 3 : การเปลี่ยนผ่าน
มาตรา 7
ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากระบอบประชาธิปไตยแบบพรรคการเมือง
สู่ระบอบ สัจจะประชาธิปไตย ซึ่งยึดถือ “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” เป็นหลักการสูงสุดของการปกครอง

มาตรา 8
ให้มี “สมัชชาเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ” ทำหน้าที่แทนรัฐสภาชั่วคราว เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารประเทศ
โดยสมัชชานี้มาจากผู้แทนข้าราชการ ผู้แทนประชาชนจากทุกภาคส่วน และผู้แทนพระมหากษัตริย์

มาตรา 9
ให้ยุติระบบพรรคการเมืองเดิม และยกเลิกการจดทะเบียนพรรคการเมืองทุกประเภท
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจากระบบเดิม ต้องแสดงเจตจำนงว่าจะยึดมั่นในสัจจะประชาธิปไตยหรือไม่
ผู้ใดไม่ยึดมั่น ต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองในทันที

บทที่ 4 : การบริหารงานรัฐ
มาตรา 10
ให้ข้าราชการประจำในทุกกระทรวง มีสิทธิเลือกตั้งรัฐมนตรีผู้บริหารกระทรวงของตนเอง
โดยผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างเปิดเผย ตรวจสอบได้ และยึดผลการปฏิบัติงานจริง

มาตรา 11
ให้จัดการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรโดยไม่อิงระบบพรรค
แต่ยึดตามเขตพื้นที่จริง และให้ประชาชนเลือกบุคคลที่มีสัจจะรับใช้ประชาชนโดยตรง
โดยมีกรรมการสัจจะกลางทำหน้าที่รับรองคุณสมบัติก่อนสมัครรับเลือกตั้ง

มาตรา 12
ให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
โดยพิจารณาจากบุคคลผู้มีคุณธรรม ความสามารถ และการยอมรับจากสมัชชาเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ

มาตรา 13
ให้มีการจัดทำ “สารสัจจะแห่งชาติ” เพื่อเผยแพร่หลักการของรัฐธรรมนูญนี้สู่ประชาชนทุกภาคส่วน
รวมถึงจัดกิจกรรมสาธารณะระดับชาติ เพื่อให้เกิดการตื่นรู้ในสัจจะร่วมของสังคม

มาตรา 14
ทุกการปฏิรูปต้องเป็นไปอย่างสงบ ไม่รุนแรง และตั้งอยู่บนเจตนาดีต่อประชาชนทั้งมวล
ห้ามกระทำการใดที่นำไปสู่การแบ่งฝ่าย การใช้อำนาจบังคับ หรือสร้างความขัดแย้งทางความคิด

มาตรา 15
ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ให้มี “สำนักประสานสัจจะ” เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ
และเสนอแนวทางปรับแก้ให้รัฐธรรมนูญฉบับสัจจะสมบูรณ์ขึ้นในอนาคต

บทที่ 5 : การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
มาตรา 16
การบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถือเป็น พิธีการแห่งสัจจะร่วมของชาติ
โดยจะมีการประกาศสารสัจจะต่อหน้าพระมหากษัตริย์ และประชาชนทั้งแผ่นดิน พร้อมกันทั่วประเทศ

ท้ายสุด:
เราทุกคนร่วมกันรักษาสัจจะ ทำความดี และสร้างความสงบสุขให้กับโลกนี้ เพื่อมวลมนุษย์และทุกชีวิตในจักรวาล

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ถูกนำเสนอเพื่อให้ประชาชนทุกคนได้ร่วมกันศึกษาและมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างโลกใหม่ที่ยึดถือหลักสัจจะและความเมตตาเป็นพื้นฐานของสังคม